ประกันรถยนต์คืออะไร คู่มือเข้าใจง่ายสำหรับเจ้าของรถทุกคน

ประกันรถยนต์เป็นสิ่งจำเป็นที่เจ้าของรถทุกคนควรมี ไม่ใช่เพียงเพราะกฎหมายกำหนดให้ต้องมี พ.ร.บ. รถยนต์ เท่านั้น แต่ยังเป็นการป้องกันความเสี่ยงทางการเงินเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ความเสียหาย หรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น รถชน รถหาย หรือไฟไหม้รถ

บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจประกันรถยนต์ในทุกแง่มุม ทั้งประเภท ความคุ้มครอง ข้อกฎหมาย และคำแนะนำในการเลือกประกันที่เหมาะสม เพื่อให้คุณขับขี่ได้อย่างมั่นใจและอุ่นใจมากขึ้น


ประเภทของประกันรถยนต์

ในประเทศไทย ประกันรถยนต์แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ ประกันภัยภาคบังคับ หรือที่เรียกว่า พ.ร.บ. และประกันภัยภาคสมัครใจ

ประกันภัยภาคบังคับ (พ.ร.บ. รถยนต์)

พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 กำหนดให้เจ้าของรถทุกคันต้องทำประกันภัยภาคบังคับก่อนนำรถไปจดทะเบียนหรือใช้งานบนท้องถนน

ความคุ้มครองของ พ.ร.บ.

  • คุ้มครองผู้ที่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถ
  • จ่ายค่ารักษาพยาบาลเบื้องต้นโดยไม่ต้องรอพิสูจน์ความผิด
  • มีวงเงินคุ้มครองตามที่กฎหมายกำหนด

บทลงโทษหากไม่ทำ พ.ร.บ.
หากเจ้าของรถไม่ทำ พ.ร.บ. จะไม่สามารถต่อทะเบียนรถได้ และมีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท

ประกันภัยภาคสมัครใจ

คือประกันที่เจ้าของรถเลือกทำเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มความคุ้มครอง สามารถเลือกได้หลายประเภทตามความต้องการและงบประมาณ

ประกันภัยชั้น 1

เป็นประกันที่ให้ความคุ้มครองครอบคลุมมากที่สุด ทั้งรถของผู้เอาประกันและรถคู่กรณี คุ้มครองกรณีรถชนทุกกรณี แม้ไม่มีคู่กรณี รวมถึงรถหาย ไฟไหม้ น้ำท่วม และคุ้มครองชีวิตผู้ขับและผู้โดยสาร เหมาะกับรถใหม่หรือรถที่มีมูลค่าสูง

ประกันภัยชั้น 2 พลัส

ให้ความคุ้มครองใกล้เคียงกับประกันชั้น 1 แต่ไม่คุ้มครองกรณีรถชนโดยไม่มีคู่กรณี เหมาะสำหรับรถที่มีอายุ 3 ถึง 5 ปี

ประกันภัยชั้น 3 พลัส

คุ้มครองเฉพาะเมื่อเกิดอุบัติเหตุที่มีคู่กรณี เช่น รถชนรถ ไม่คุ้มครองกรณีไฟไหม้หรือน้ำท่วม เหมาะสำหรับรถที่ใช้งานทั่วไปและมีอายุหลายปี

ประกันภัยชั้น 3

ให้ความคุ้มครองเฉพาะคู่กรณีเท่านั้น ไม่คุ้มครองรถของผู้เอาประกัน เหมาะสำหรับรถเก่าหรือรถที่ใช้งานไม่บ่อย


ความแตกต่างระหว่าง พ.ร.บ. และประกันภัยภาคสมัครใจ

พ.ร.บ. เป็นประกันที่กฎหมายกำหนดให้ต้องมี เพื่อคุ้มครองผู้ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางรถ ส่วนประกันภัยภาคสมัครใจเป็นการเลือกทำเพิ่มเติมเพื่อคุ้มครองทั้งชีวิตและทรัพย์สิน

  • พ.ร.บ. คุ้มครองเฉพาะชีวิตและร่างกายของผู้ประสบภัย
  • ประกันภาคสมัครใจคุ้มครองเพิ่มเติมถึงทรัพย์สินของทั้งสองฝ่าย
  • พ.ร.บ. จ่ายค่ารักษาพยาบาลเบื้องต้นโดยไม่ต้องรอพิสูจน์ความผิด
  • การทำ พ.ร.บ. เป็นข้อบังคับทางกฎหมาย แต่ประกันภาคสมัครใจเป็นสิทธิของเจ้าของรถ

เหตุผลที่ควรมีประกันรถยนต์

  1. ป้องกันความเสี่ยงทางการเงินในกรณีเกิดอุบัติเหตุ
  2. ช่วยรับผิดชอบต่อคู่กรณีเมื่อเกิดความเสียหาย
  3. เป็นไปตามข้อกำหนดของกฎหมาย
  4. สร้างความอุ่นใจทุกครั้งที่ขับขี่

สิ่งที่ควรรู้ก่อนเลือกประกันรถยนต์

ตรวจสอบความต้องการของตนเอง

ก่อนตัดสินใจทำประกัน ควรพิจารณาว่าใช้รถบ่อยแค่ไหน รถมีอายุเท่าไร และมีงบประมาณต่อปีเท่าใด

เปรียบเทียบความคุ้มครอง

แต่ละบริษัทมีเงื่อนไขต่างกัน ควรอ่านรายละเอียดให้ครบถ้วน เช่น

  • วงเงินคุ้มครองต่อทรัพย์สิน
  • เงื่อนไขกรณีรถหายหรือไฟไหม้
  • การเลือกซ่อมอู่หรือศูนย์

ตรวจสอบข้อยกเว้นในกรมธรรม์

บางกรณีอาจไม่คุ้มครอง เช่น

  • ผู้ขับไม่มีใบอนุญาตขับขี่
  • เมาสุราหรือเสพสารเสพติด
  • นำรถไปแข่งหรือใช้งานผิดประเภท

เลือกบริษัทที่น่าเชื่อถือ

ควรเลือกบริษัทประกันที่มีชื่อเสียงและมีบริการหลังการขายดี สามารถตรวจสอบรายชื่อบริษัทที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)


กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับประกันรถยนต์

พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 กำหนดให้รถทุกคันต้องทำ พ.ร.บ. ก่อนใช้งาน
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ระบุว่า ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อจนทำให้ผู้อื่นเสียหาย ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย ดังนั้นการมีประกันจึงเป็นวิธีลดความเสี่ยงทางกฎหมาย
พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ยังให้อำนาจเจ้าหน้าที่ตรวจสอบเอกสารประกันรถได้


เคล็ดลับประหยัดค่าเบี้ยประกันรถยนต์

  1. ขับรถอย่างปลอดภัยและไม่มีประวัติเคลม บริษัทมักให้ส่วนลดพิเศษ
  2. เลือกความคุ้มครองที่เหมาะกับลักษณะการใช้งาน
  3. ติดกล้องหน้ารถเพื่อใช้เป็นหลักฐานในกรณีเกิดอุบัติเหตุ
  4. เลือกซ่อมอู่ในเครือเพื่อลดค่าเบี้ยประกัน

ขั้นตอนการเคลมประกันเมื่อเกิดอุบัติเหตุ

  1. โทรแจ้งบริษัทประกันทันที แจ้งชื่อผู้เอาประกัน หมายเลขทะเบียนรถ และสถานที่เกิดเหตุ
  2. รอเจ้าหน้าที่ตรวจสอบและถ่ายภาพความเสียหาย
  3. ลงบันทึกเหตุการณ์เพื่อใช้ประกอบการเคลม
  4. ซ่อมรถตามอู่หรือศูนย์ที่ระบุไว้ในกรมธรรม์

ประกันรถยนต์สำหรับรถเช่าหรือรถบริษัท

สำหรับผู้ประกอบการที่มีรถหลายคัน เช่น บริษัทขนส่งหรือรถเช่า สามารถทำประกันแบบ Fleet ที่คุ้มครองรถหลายคันพร้อมกัน มีข้อดีคือ

  • ได้ส่วนลดตามจำนวนรถ
  • จัดการค่าใช้จ่ายได้ง่าย
  • มีบริการดูแลเฉพาะทางจากบริษัทประกัน

กรณีบริษัทประกันปฏิเสธการเคลม

หากบริษัทประกันปฏิเสธการเคลมโดยไม่มีเหตุผล เช่น ไม่ยอมชดใช้ตามสัญญา หรือล่าช้าเกินสมควร ผู้เอาประกันสามารถร้องเรียนต่อสำนักงาน คปภ. ผ่านสายด่วน 1186 หรือปรึกษาทนายเพื่อดำเนินการทางกฎหมายได้

ผู้ที่ต้องการขอคำแนะนำหรือปรึกษาเกี่ยวกับสิทธิของผู้เอาประกัน สามารถติดต่อทนายวิรัชได้โดยตรง

ติดต่อทนายวิรัชได้ที่
สายด่วน โทร 0812585681
หรือ Add Line @732hjgrx


สรุป

ประกันรถยนต์ไม่ใช่แค่ภาระค่าใช้จ่าย แต่เป็นเครื่องมือสำคัญในการป้องกันความเสี่ยงทางการเงินและกฎหมาย เพราะอุบัติเหตุสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ การมีทั้ง พ.ร.บ. และประกันภาคสมัครใจ จะช่วยให้คุณมั่นใจในการขับขี่และรับมือกับเหตุไม่คาดคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หากคุณต้องการคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับเงื่อนไขการทำประกัน การเคลม หรือข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง สามารถปรึกษาทนายวิรัชได้ที่
โทร 0812585681
หรือ Line @732hjgrx

ถอดรหัส “ประกันรถ” ฉบับสมบูรณ์: คู่มือที่คนมีรถทุกคนต้องอ่าน (เจาะลึกทุกประเภทและการเคลม)

บนท้องถนนทุกวันนี้ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน “อุบัติเหตุ” สามารถเกิดขึ้นได้ในเสี้ยววินาที แม้ว่าเราจะขับรถด้วยความระมัดระวังเพียงใดก็ตาม การมี “ประกันรถ” จึงไม่ใช่แค่ “ทางเลือก” แต่คือ “สิ่งจำเป็น” ที่เป็นเหมือนเกราะป้องกันทางการเงินให้กับคุณและรถที่คุณรัก

อย่างไรก็ตาม โลกของประกันรถนั้นกว้างใหญ่และเต็มไปด้วยตัวเลือกที่หลากหลาย ตั้งแต่ “ประกันชั้น 1” ที่ครอบคลุมทุกอย่าง ไปจนถึง “พ.ร.บ.” ที่หลายคนยังเข้าใจผิด ทั้งยังมีศัพท์เฉพาะอย่าง “ค่าเสียหายส่วนแรก” หรือ “ทุนประกัน” ที่ทำให้การตัดสินใจเลือกซื้อกลายเป็นเรื่องยาก

บทความนี้จะทำหน้าที่เป็นแผนที่นำทาง ช่วยให้คุณเข้าใจประกันรถยนต์อย่างถ่องแท้ ตั้งแต่พื้นฐานไปจนถึงประเด็นทางกฎหมายเล็กๆ น้อยๆ ที่คุณควรรู้ เพื่อให้คุณได้รับความคุ้มครองที่เหมาะสมที่สุดในเบี้ยประกันที่คุ้มค่าที่สุด

ภาค 1: ประกันภาคบังคับ (พ.ร.บ.) – สิ่งที่รถทุกคัน “ต้องมี”

ก่อนที่เราจะไปพูดถึงประกันภาคสมัครใจ (ประกันชั้น 1, 2, 3) เราต้องเริ่มต้นจากสิ่งที่สำคัญที่สุดและเป็นข้อบังคับตามกฎหมาย นั่นคือ พ.ร.บ. หรือ พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535

หลายคนมักเข้าใจผิดว่า พ.ร.บ. คือประกันที่คุ้มครอง “รถ” แต่ความจริงแล้ว พ.ร.บ. ถูกออกแบบมาเพื่อคุ้มครอง “คน” หรือ “ชีวิต” ที่ได้รับผลกระทบจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นคนขับ ผู้โดยสาร หรือแม้แต่คนเดินเท้าที่โชคร้าย

พ.ร.บ. คุ้มครองอะไรบ้าง?

พ.ร.บ. จะจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับ “ผู้ประสบภัย” (คน) โดยไม่สนว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายถูกหรือผิด เพื่อให้ผู้บาดเจ็บได้รับการรักษาพยาบาลอย่างทันท่วงที โดยมีความคุ้มครองหลักๆ ดังนี้:

  1. ค่าเสียหายเบื้องต้น (จ่ายทันที ไม่ต้องรอพิสูจน์ถูกผิด):
    • ค่ารักษาพยาบาล (ตามจริง): สูงสุดไม่เกิน 30,000 บาท/คน
    • กรณีเสียชีวิต, สูญเสียอวัยวะ หรือทุพพลภาพถาวร: 35,000 บาท/คน
  2. ค่าสินไหมทดแทนส่วนเกิน (จ่ายเมื่อพิสูจน์แล้วว่าเป็นฝ่ายถูก):
    • ค่ารักษาพยาบาล (รวมข้อ 1 แล้ว): สูงสุดไม่เกิน 80,000 บาท/คน
    • กรณีเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง: 500,000 บาท/คน
    • กรณีสูญเสียอวัยวะ: 200,000 – 500,000 บาท (ตามที่กฎหมายกำหนด)
    • ค่าชดเชยรายวัน (กรณีนอนโรงพยาบาล): 200 บาท/วัน (สูงสุด 20 วัน)

จุดสำคัญที่ต้องจำเกี่ยวกับ พ.ร.บ.

  • ไม่คุ้มครองรถ: พ.ร.บ. ไม่จ่ายค่าซ่อมรถ ไม่ว่าจะเป็นรถเราหรือรถคู่กรณี
  • ต้องต่อทุกปี: การไม่ต่อ พ.ร.บ. ถือว่าผิดกฎหมาย มีโทษปรับ และไม่สามารถต่อภาษีรถยนต์ประจำปีได้
  • คุ้มครองเฉพาะคน: เน้นย้ำว่านี่คือหลักประกันสำหรับชีวิตและร่างกายเท่านั้น

เมื่อเรามีเกราะป้องกันสำหรับ “คน” แล้ว ลำดับถัดไปคือการหาเกราะป้องกันสำหรับ “รถ” และ “ทรัพย์สิน” ซึ่งนั่นคือหน้าที่ของประกันภาคสมัครใจ

ภาค 2: เจาะลึกประกันภาคสมัครใจ – เลือก “ชั้น” ไหนให้เหมาะกับคุณ?

นี่คือส่วนที่คนส่วนใหญ่สับสนที่สุด “ประกันชั้น 1”, “2+”, “3+” มันต่างกันอย่างไร? เราจะอธิบายให้ชัดเจนทีละประเภท โดยเรียงลำดับจากความคุ้มครองที่มากที่สุดไปน้อยที่สุด

ประกันชั้น 1 (Type 1): “ครอบจักรวาล”

คุ้มครองอะไรบ้าง:

  1. ความรับผิดต่อบุคคลภายนอก:
    • ชีวิต/ร่างกาย ของคู่กรณี (และคนเดินเท้า)
    • ทรัพย์สิน ของคู่กรณี (เช่น รถ, รั้วบ้าน, เสาไฟฟ้า)
  2. ความเสียหายต่อรถยนต์คันเอาประกัน (รถเราเอง):
    • รถชนรถ: คุ้มครองทั้งเราเป็นฝ่ายถูก หรือเป็นฝ่ายผิด
    • รถชนแบบไม่มีคู่กรณี: นี่คือจุดเด่น! เช่น ถอยชนเสา, ชนต้นไม้, หินกระเด็นใส่, รถไถลตกข้างทาง
  3. รถยนต์สูญหาย ไฟไหม้ และน้ำท่วม: คุ้มครองความเสียหายจากภัยธรรมชาติ (บางกรมธรรม์รวมน้ำท่วม) การโจรกรรม และไฟไหม้

เหมาะกับใคร:

  • รถใหม่ป้ายแดง (อายุ 1-3 ปี): เพราะมูลค่ารถยังสูง ค่าซ่อมแพง
  • มือใหม่หัดขับ: มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ แบบไม่มีคู่กรณีสูง
  • คนที่ต้องการความสบายใจสูงสุด: ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายใดๆ เมื่อเกิดเหตุ

ประกันชั้น 2+ (Type 2 Plus): “คุ้มค่า ยอดนิยม”

คุ้มครองอะไรบ้าง:

  1. ความรับผิดต่อบุคคลภายนอก: (เหมือนชั้น 1)
    • ชีวิต/ร่างกาย ของคู่กรณี
    • ทรัพย์สิน ของคู่กรณี
  2. ความเสียหายต่อรถยนต์คันเอาประกัน (รถเราเอง):
    • ต้องเป็นกรณี “รถชนรถ” เท่านั้น และต้องระบุคู่กรณีที่เป็นยานพาหนะทางบกได้ (เช่น รถยนต์, มอเตอร์ไซค์)
    • ไม่คุ้มครอง การชนแบบไม่มีคู่กรณี (ถอยชนเสา, ชนต้นไม้ ไม่จ่าย)
  3. รถยนต์สูญหาย ไฟไหม้: (ส่วนใหญ่คุ้มครอง แต่มักไม่รวมน้ำท่วม)

เหมาะกับใคร:

  • รถยนต์อายุ 3-7 ปี: ที่มูลค่าเริ่มลดลง แต่ยังต้องการความคุ้มครองที่ครอบคลุม
  • ผู้ขับขี่ที่มีประสบการณ์: มั่นใจว่าไม่น่าจะเกิดเหตุชนแบบไม่มีคู่กรณี
  • คนที่ต้องการประหยัดเบี้ย: เบี้ยประกันถูกกว่าชั้น 1 อย่างชัดเจน แต่ได้ความคุ้มครองที่ใกล้เคียงมาก

ประกันชั้น 3+ (Type 3 Plus): “ประหยัด เน้นซ่อมเขา-ซ่อมเรา”

คุ้มครองอะไรบ้าง:

  1. ความรับผิดต่อบุคคลภายนอก: (เหมือนชั้น 1 และ 2+)
    • ชีวิต/ร่างกาย ของคู่กรณี
    • ทรัพย์สิน ของคู่กรณี
  2. ความเสียหายต่อรถยนต์คันเอาประกัน (รถเราเอง):
    • ต้องเป็นกรณี “รถชนรถ” เท่านั้น (เหมือน 2+)

จุดต่างจาก 2+: ประกันชั้น 3+ “ไม่คุ้มครอง” กรณีรถสูญหายหรือไฟไหม้

เหมาะกับใคร:

  • รถยนต์อายุ 7-15 ปี: ที่ไม่กังวลเรื่องรถหายหรือไฟไหม้
  • รถที่ใช้งานในเมืองเป็นหลัก: ไม่ได้จอดในที่เสี่ยง
  • คนที่ต้องการเบี้ยประกันราคาประหยัด: แต่ยังต้องการความคุ้มครองซ่อมรถเราเมื่อเกิดเหตุชนกับรถคันอื่น

ประกันชั้น 2 (Type 2): “คุ้มครองเขา + รถเราหาย/ไฟไหม้”

คุ้มครองอะไรบ้าง:

  1. ความรับผิดต่อบุคคลภายนอก: (เหมือนชั้น 1, 2+, 3+)
    • ชีวิต/ร่างกาย ของคู่กรณี
    • ทรัพย์สิน ของคู่กรณี
  2. รถยนต์สูญหาย ไฟไหม้: คุ้มครองเฉพาะกรณีนี้

จุดสำคัญ: ประกันชั้น 2 “ไม่คุ้มครอง” ความเสียหายต่อรถเราเองใน ทุกกรณี ไม่ว่าจะชนแบบมีหรือไม่มีคู่กรณีก็ตาม

เหมาะกับใคร:

  • ปัจจุบันไม่ค่อยเป็นที่นิยม เพราะ 2+ และ 3+ ให้ความคุ้มครองที่ดีกว่า
  • อาจเหมาะกับรถที่จอดไว้เฉยๆ แต่กลัวหายหรือไฟไหม้

ประกันชั้น 3 (Type 3): “พื้นฐาน คุ้มครองคู่กรณีเท่านั้น”

คุ้มครองอะไรบ้าง:

  1. ความรับผิดต่อบุคคลภายนอก:
    • ชีวิต/ร่างกาย ของคู่กรณี
    • ทรัพย์สิน ของคู่กรณี

จุดสำคัญ: ประกันชั้น 3 “ไม่คุ้มครองรถเราเลย” ไม่ว่ากรณีใดๆ และไม่คุ้มครองรถหาย/ไฟไหม้ด้วย (สรุปคือ ซ่อมเขาอย่างเดียว รถเราซ่อมเอง)

เหมาะกับใคร:

  • รถเก่ามาก (อายุ 15 ปีขึ้นไป): ที่ค่าซ่อมรถเราไม่แพง หรือเจ้าของตัดสินใจว่าจะซ่อมเองถ้าเกิดเหตุ
  • รถที่ใช้งานน้อยมาก (รถสำรอง):
  • คนที่ต้องการจ่ายเบี้ยประกันน้อยที่สุด แต่ยังคงมีความรับผิดชอบต่อสังคม (เมื่อไปชนคนอื่น)

ตารางสรุปความคุ้มครองประกันรถยนต์

ความคุ้มครองชั้น 1ชั้น 2+ชั้น 3+ชั้น 2ชั้น 3
ซ่อมรถคู่กรณี (ทรัพย์สิน)
ซ่อมคนคู่กรณี (ชีวิต/ร่างกาย)
ซ่อมรถเรา (ชนรถ)
ซ่อมรถเรา (ชนไม่มีคู่กรณี)
รถหาย / ไฟไหม้
น้ำท่วม❌*

(หมายเหตุ: ประกัน 2+ บางแผนอาจมีความคุ้มครองน้ำท่วม แต่ต้องตรวจสอบในกรมธรรม์)

ภาค 3: ถอดรหัส “ศัพท์ประกัน” ที่คุณต้องรู้ก่อนเซ็นสัญญา

การเลือก “ชั้น” ประกันได้แล้วเป็นแค่ก้าวแรก คุณต้องเข้าใจคำศัพท์เหล่านี้ด้วย เพื่อไม่ให้เสียเปรียบเมื่อต้องเคลมหรือเมื่อต้องตัดสินใจซื้อ

1. ทุนประกัน (Sum Insured)

  • คืออะไร: วงเงินสูงสุดที่บริษัทประกันจะจ่ายให้คุณ ในกรณีที่รถของคุณ “เสียหายสิ้นเชิง” (Total Loss) หรือ “สูญหาย/ไฟไหม้”
  • เสียหายสิ้นเชิงคือ: รถเสียหายหนักมาก (ปกติคือเกิน 70% ของมูลค่ารถ) จนซ่อมไม่คุ้ม บริษัทจะจ่ายเงินก้อนนี้ให้คุณ (ตามทุนประกัน) แล้วโอนซากรถเป็นของบริษัทประกัน
  • คำนวณอย่างไร: ปกติจะอยู่ที่ 80% – 90% ของ “ราคากลาง” หรือ “ราคาตลาด” ของรถรุ่นนั้นๆ ในปีปัจจุบัน (ไม่ใช่ราคาที่คุณซื้อมา)
  • ข้อควรระวัง: ทุนประกันสูง เบี้ยก็สูงตาม แต่ถ้าทุนประกันต่ำไป เมื่อรถหายหรือเสียหายหนัก คุณก็จะได้เงินคืนน้อยกว่าที่ควรจะเป็น

2. ค่าเสียหายส่วนแรก (Deductible vs. Excess)

นี่คือคำที่คนสับสนที่สุด และเป็นประเด็นขัดแย้งบ่อยที่สุดเวลาเคลม

  • Deductible (ค่าเสียหายส่วนแรกแบบ “สมัครใจ”)
    • คือ ส่วนลดค่าเบี้ยประกัน
    • คุณตกลงกับบริษัทประกัน “ตั้งแต่ตอนซื้อ” ว่า “ถ้าฉันเป็นฝ่ายผิด หรือเคลมแบบไม่มีคู่กรณี (เช่น ชนเสา) ฉันยินดีจะช่วยจ่าย 3,000 หรือ 5,000 บาทแรกเอง”
    • ผลคือ: คุณจะได้ “ส่วนลดค่าเบี้ยประกัน” ทันที
    • ข้อดี: ประหยัดค่าเบี้ย เหมาะกับคนขับรถดี ไม่ค่อยเคลม
    • ข้อเสีย: ถ้าเกิดเหตุขึ้นมาจริงๆ (และคุณเป็นฝ่ายผิด) คุณต้องจ่ายเงินก้อนนี้ก่อน
  • Excess (ค่าเสียหายส่วนแรกแบบ “ภาคบังคับ”)
    • คือ “ค่าปรับ” หรือ “ค่าธรรมเนียม” ที่คุณต้องจ่ายเมื่อเกิดเหตุ
    • มักจะถูกกำหนดไว้ในกรมธรรม์ (โดยเฉพาะประกันชั้น 1) ว่าถ้าเกิดเหตุ “ชนแบบไม่มีคู่กรณี” หรือ “ไม่สามารถระบุคู่กรณีได้” (เช่น ถูกชนแล้วหนี, หินกระเด็นใส่) คุณจะต้องจ่ายค่า Excess นี้ (มักจะ 1,000 บาท ต่อเหตุการณ์)
    • จุดต่าง: Excess ไม่ได้ทำให้เบี้ยคุณถูกลง แต่เป็นเงื่อนไขที่ติดมากับกรมธรรม์เพื่อป้องกันการเคลมเล็กๆ น้อยๆ หรือการเคลมที่หาคนผิดไม่ได้

สรุปง่ายๆ: Deductible (สมัครใจ) = จ่ายเพื่อลดเบี้ย / Excess (บังคับ) = จ่ายเมื่อหาคู่กรณีไม่ได้

3. ความคุ้มครองเพิ่มเติม (Rider)

นอกจากความคุ้มครองหลักแล้ว ประกันมักจะมีความคุ้มครองเพิ่มเติมแนบท้ายมาด้วย เช่น:

  • อุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA): คุ้มครองคนขับและผู้โดยสารในรถเรา กรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพจากอุบัติเหตุ
  • ค่ารักษาพยาบาล (Medical Expense): วงเงินค่ารักษาพยาบาลสำหรับคนในรถเรา (นอกเหนือจากที่ได้จาก พ.ร.บ.)
  • การประกันตัวผู้ขับขี่ (Bail Bond): วงเงินที่บริษัทประกันจะนำไปประกันตัวคุณ หากคุณเป็นฝ่ายผิดในคดีอาญา (เช่น ขับรถชนคนบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิต)

ภาค 4: ขั้นตอนปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุ – “เคลม” อย่างไรไม่ให้มีปัญหา

เมื่อเลือกประกันได้แล้ว สิ่งสำคัญต่อมาคือต้องรู้วิธีใช้สิทธิ์เมื่อเกิดอุบัติเหตุ การตั้งสติและทำตามขั้นตอนที่ถูกต้อง จะช่วยให้การเคลมประกันราบรื่น

1. ตั้งสติและประเมินสถานการณ์

  • หยุดรถทันที: เปิดไฟฉุกเฉิน
  • ตรวจสอบความปลอดภัย: ดูว่ามีใครบาดเจ็บหรือไม่ ถ้ามี ให้โทรเรียกรถพยาบาล (1669) ทันที (พ.ร.บ. จะเข้ามาดูแลค่ารักษาพยาบาลเบื้องต้น)
  • อย่าเพิ่งขยับรถ: (ยกเว้นกรณีที่กีดขวางการจราจรอย่างรุนแรง หรืออยู่ในที่อันตราย)

2. เก็บหลักฐาน (สำคัญมาก)

  • ถ่ายรูป: ถ่ายรูปรถคุณและคู่กรณีหลายๆ มุม (ให้เห็นป้ายทะเบียน, ความเสียหาย, ตำแหน่งรถบนถนน, รอยเบรก (ถ้ามี))
  • ถ่ายวิดีโอ: ถ่ายวิดีโอสั้นๆ รอบที่เกิดเหตุ
  • แลกข้อมูล: ขอชื่อ, เบอร์โทรศัพท์, และข้อมูลประกัน (ชื่อบริษัท, เลขที่กรมธรรม์) ของคู่กรณี
  • พยาน: หากมีพยานเห็นเหตุการณ์ ขอข้อมูลติดต่อไว้ด้วย

3. โทรหาบริษัทประกัน “ทันที”

  • โทรเข้า Call Center ของบริษัทประกันที่คุณทำไว้ (เบอร์ฉุกเฉินมักจะอยู่บนสติกเกอร์ที่แปะหน้ารถ หรือในบัตรกรมธรรม์)
  • แจ้งข้อมูล: แจ้งเลขทะเบียนรถ, สถานที่เกิดเหตุ, และลักษณะการเกิดเหตุ “ตามความเป็นจริง”
  • รอเจ้าหน้าที่สำรวจภัย (Surveyor): เจ้าหน้าที่จะมาที่เกิดเหตุเพื่อประเมินสถานการณ์และออก “ใบเคลม” (Claim Form) ให้

4. การจัดการที่เกิดเหตุ

  • กรณีคุณเป็นฝ่ายถูก (คู่กรณีรับผิด): เจ้าหน้าที่ประกันจะออกใบเคลมให้คุณนำรถไปเข้าอู่ (อู่ในเครือ หรืออู่ที่คุณเลือก)
  • กรณีคุณเป็นฝ่ายผิด (คุณรับผิด): เจ้าหน้าที่ประกันจะดูแลคู่กรณี และออกใบเคลมให้คุณ (คุณอาจต้องจ่ายค่า Deductible/Excess ถ้ามี)
  • กรณีตกลงกันไม่ได้ (ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมรับผิด): รอเจ้าหน้าที่ตำรวจมาทำแผนที่เกิดเหตุ และชี้ขาด หรือให้เรื่องดำเนินการตามกฎหมายต่อไป (ซึ่งบริษัทประกันจะเข้ามาดูแลคดีให้คุณ)

“เคลมแห้ง” กับ “เคลมสด”

  • เคลมสด (Fresh Claim): คือการโทรเรียกประกัน ณ ที่เกิดเหตุทันที (ตามขั้นตอนข้างต้น)
  • เคลมแห้ง (Dry Claim): คือการเคลมหลังจากเกิดเหตุไปแล้ว เช่น รอยขีดข่วนเล็กน้อย, ชนเสาที่บ้าน โดยที่คุณไม่ได้แจ้งประกันทันที
    • ข้อควรระวัง: การเคลมแห้ง (โดยเฉพาะประกันชั้น 1 ที่เคลมแบบไม่มีคู่กรณี) มักจะต้องเสียค่า Excess (1,000 บาท) ต่อเหตุการณ์/ต่อชิ้นส่วน และหากเคลมบ่อยๆ อาจส่งผลต่อเบี้ยประกันในปีถัดไป

ภาค 5: ประเด็นทางกฎหมายและข้อโต้แย้งที่พบบ่อย

ในฐานะทนายความ ผมพบว่ามีหลายประเด็นที่มักทำให้เกิดข้อโต้แย้งระหว่างผู้เอาประกันและบริษัทประกัน

1. “เมาแล้วขับ” ประกันจ่ายหรือไม่?

  • ตามกฎหมายใหม่ (คปภ.): หากคุณเมาแล้วขับ (มีแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์)
  • ประกัน “จ่าย” ให้คู่กรณี: บริษัทประกัน “ต้อง” รับผิดชอบจ่ายค่าซ่อมและค่ารักษาพยาบาลให้ “บุคคลภายนอก” (คู่กรณี) ก่อน
  • ประกัน “ไม่จ่าย” ให้รถคุณ: บริษัทประกันมีสิทธิ์ปฏิเสธความคุ้มครอง “รถคันที่เมา” (ไม่ซ่อมรถเรา)
  • ไล่เบี้ย: หลังจากที่ประกันจ่ายให้คู่กรณีแล้ว บริษัทประกันมีสิทธิ์มา “ไล่เบี้ย” (เรียกเงินคืน) จากคนขับที่เมาในภายหลัง

2. การปฏิเสธการจ่าย (Claim Denial)

บริษัทประกันสามารถปฏิเสธการจ่ายได้ หากคุณทำผิดเงื่อนไขในกรมธรรม์ (Exclusions) เช่น:

  • ใช้รถในทางผิดกฎหมาย (เช่น ขนยาเสพติด, แข่งขันความเร็ว)
  • ใช้รถนอกอาณาเขตที่คุ้มครอง (เช่น ขับไปต่างประเทศโดยไม่แจ้ง)
  • ผู้ขับขี่ไม่มีใบอนุญาตขับขี่ (หรือมีแต่ผิดประเภท เช่น มีใบขับขี่มอเตอร์ไซค์แต่มาขับรถยนต์)

3. ทำไมเบี้ยประกันปีต่อไปถึง “แพงขึ้น”?

เบี้ยประกันในปีถัดไปจะถูกคำนวณจาก “ประวัติการเคลม”

  • ประวัติดี (No Claim Bonus – NCB): หากปีที่ผ่านมาคุณไม่เคลมเลย (หรือไม่ใช่ฝ่ายผิด) คุณจะได้ส่วนลดเบี้ยในปีถัดไป (ลดขั้นต่ำ 20% และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สูงสุด 50%)
  • ประวัติไม่ดี (มีการเคลม): หากคุณเป็นฝ่ายผิดและมีการเคลม ส่วนลดประวัติดีจะลดลง หรืออาจถูก “เพิ่มเบี้ย” (Loading) ในปีถัดไป

บทสรุป: การเลือกประกันรถคือการบริหารความเสี่ยง

การทำประกันรถยนต์ ไม่ใช่แค่การปฏิบัติตามกฎหมาย (พ.ร.บ.) แต่คือการ “ซื้อความสบายใจ” และการ “บริหารความเสี่ยง” ทางการเงินที่ชาญฉลาด

  • อย่าเลือกเพราะ “ราคาถูก” ที่สุด: ให้พิจารณา “ความคุ้มครอง” ที่เหมาะสมกับการใช้งานรถของคุณ
  • พ.ร.บ. คุ้มครอง “คน” / ภาคสมัครใจ คุ้มครอง “รถ” (ทั้งเราและเขา)
  • ประกันชั้น 1: เหมาะกับรถใหม่และมือใหม่ (คุ้มครองทุกอย่าง)
  • ประกันชั้น 2+: คุ้มค่าที่สุดสำหรับรถส่วนใหญ่ (ซ่อมเขา-ซ่อมเรา เมื่อชนกับรถ)
  • อ่านกรมธรรม์: ทำความเข้าใจเรื่อง “ทุนประกัน” และ “ค่าเสียหายส่วนแรก” (Deductible/Excess) ให้ชัดเจนก่อนตัดสินใจ

การมีประกันที่เหมาะสม เปรียบเสมือนการมีที่ปรึกษาทางการเงินคอยดูแลคุณยามเกิดเหตุฉุกเฉินบนท้องถนน หากคุณขับรถดี ไม่เคลม คุณก็ได้ส่วนลดเป็นรางวัล แต่หากโชคร้ายเกิดเหตุขึ้น คุณก็ยังมีบริษัทประกันคอยรับภาระค่าใช้จ่ายหนักๆ แทนคุณ


หากคุณประสบอุบัติเหตุ มีข้อพิพาทเรื่องการเคลมประกัน หรือต้องการคำแนะนำทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับประกันภัยรถยนต์และอุบัติเหตุ

สามารถติดต่อทนายวิรัชได้ที่ สายด่วน โทร 0812585681 หรือ add line @732hjgrx

ประกันรถยนต์คืออะไร? เข้าใจสิทธิ ประเภท และข้อควรรู้ก่อนทำประกันรถ

บทนำ ทำไมประกันรถถึงสำคัญทางกฎหมาย

ทุกคนที่ใช้รถยนต์ในประเทศไทยควรรู้ว่า ประกันรถยนต์ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของความปลอดภัยทางการเงิน แต่ยังเป็นข้อบังคับตามกฎหมายโดยตรง ภายใต้พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 ซึ่งกำหนดให้เจ้าของรถทุกคันต้องทำประกันภัยภาคบังคับ หรือที่เรียกว่า พ.ร.บ. ก่อนจะสามารถต่อภาษีรถได้

นอกจากภาคบังคับแล้ว เจ้าของรถยังสามารถเลือกทำประกันภัยภาคสมัครใจเพิ่มเติม เพื่อให้ครอบคลุมความเสียหายต่อทรัพย์สิน ชีวิต และความรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอกได้กว้างขึ้น


ประเภทของประกันรถยนต์ในประเทศไทย

1. ประกันภัยภาคบังคับ (พ.ร.บ.)

ประกันภัยภาคบังคับเป็นประกันที่กฎหมายกำหนดให้ต้องมีสำหรับรถยนต์ทุกคัน ไม่ว่าจะเป็นรถส่วนบุคคล รถจักรยานยนต์ หรือรถบรรทุก

ความคุ้มครองหลักของ พ.ร.บ. ได้แก่

  • ค่ารักษาพยาบาลสำหรับผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุ
  • ค่าชดเชยกรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวร
  • เงินช่วยเหลือเบื้องต้นโดยไม่ต้องรอพิสูจน์ความผิด

การต่ออายุ พ.ร.บ. ทุกปีจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพราะหากไม่มี พ.ร.บ. จะไม่สามารถต่อภาษีรถได้ และมีโทษปรับตามกฎหมาย


2. ประกันภัยภาคสมัครใจ

ประกันภัยภาคสมัครใจแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามระดับความคุ้มครอง

ประกันชั้น 1
คุ้มครองครอบคลุมเกือบทุกกรณี ไม่ว่าผู้ขับจะเป็นฝ่ายถูกหรือผิด เหมาะสำหรับรถใหม่หรือรถที่มีมูลค่าสูง

ประกันชั้น 2+ และ 3+
ประกันชั้น 2+ คุ้มครองรถของเราในกรณีชนกับรถยนต์เท่านั้น ส่วนชั้น 3+ คุ้มครองคล้ายกันแต่ไม่รวมกรณีสูญหายหรือไฟไหม้ เหมาะสำหรับรถที่ใช้งานมาแล้วหลายปี

ประกันชั้น 3
คุ้มครองเฉพาะความเสียหายของคู่กรณี รถของเราไม่อยู่ในความคุ้มครอง เหมาะสำหรับรถเก่าหรือรถที่มีมูลค่าไม่สูง


สิทธิของผู้เอาประกันตามกฎหมาย

เมื่อทำประกันรถยนต์แล้ว ผู้เอาประกันมีสิทธิได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายดังนี้

  1. สิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนภายในระยะเวลาที่เหมาะสม โดยบริษัทประกันต้องจ่ายภายใน 15 วันหลังจากได้รับเอกสารครบถ้วน
  2. สิทธิได้รับเอกสารกรมธรรม์และรายละเอียดความคุ้มครองอย่างครบถ้วน
  3. สิทธิร้องเรียนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย หรือ คปภ. หากเห็นว่าบริษัทประกันปฏิบัติไม่เป็นธรรม

ความแตกต่างระหว่างเคลมสดและเคลมแห้ง

เคลมสด หมายถึงการเคลมเมื่อเกิดเหตุและมีคู่กรณีอยู่ในที่เกิดเหตุ เช่น รถชนท้าย หรือชนกันสองฝ่าย
เคลมแห้ง หมายถึงการเคลมเมื่อไม่มีคู่กรณี เช่น รถเฉี่ยวกำแพงหรือขูดเสา

ควรถ่ายภาพหลักฐานทุกครั้งและแจ้งบริษัททันทีหลังเกิดเหตุ เพื่อป้องกันปัญหาการปฏิเสธความรับผิดในภายหลัง


ขั้นตอนทางกฎหมายเมื่อเกิดอุบัติเหตุ

  1. หากมีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต ต้องแจ้งตำรวจทันที การไม่แจ้งถือว่าผิดกฎหมาย
  2. ห้ามเคลื่อนย้ายรถออกจากจุดเกิดเหตุโดยไม่จำเป็น เพราะอาจกระทบต่อหลักฐานในคดี
  3. หากเป็นฝ่ายผิด ต้องรับผิดทั้งค่าซ่อมและค่ารักษาพยาบาลของผู้เสียหาย

เคล็ดลับเลือกประกันรถให้เหมาะกับตนเอง

  1. พิจารณาจากลักษณะการใช้งาน หากขับทุกวันควรเลือกประกันชั้น 1 หากใช้ไม่บ่อยอาจเลือกชั้น 2+ หรือ 3+
  2. ดูชื่อเสียงของบริษัทประกันและความรวดเร็วในการบริการเคลม
  3. อ่านเงื่อนไขในกรมธรรม์ให้ครบถ้วน โดยเฉพาะข้อยกเว้นการคุ้มครอง
  4. ตรวจสอบโปรโมชั่นหรือส่วนลด เช่น ส่วนลดจากระบบ telematics ที่วัดพฤติกรรมการขับขี่

สิ่งที่ควรทำเมื่อเกิดข้อพิพาทกับบริษัทประกัน

หากบริษัทประกันปฏิเสธหรือจ่ายค่าสินไหมล่าช้า ผู้เอาประกันมีสิทธิดำเนินการได้ดังนี้

  1. ร้องเรียนต่อบริษัทโดยตรงก่อน บริษัทต้องตอบกลับภายใน 15 วัน
  2. หากไม่ได้รับความเป็นธรรม สามารถร้องเรียนต่อ คปภ. ผ่านเว็บไซต์หรือสายด่วน 1186
  3. หากเป็นกรณีที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดสัญญา สามารถฟ้องร้องต่อศาลแพ่งได้

การปรึกษาทนายก่อนดำเนินคดีจะช่วยให้เข้าใจกระบวนการและลดความผิดพลาดในการดำเนินการทางกฎหมาย


ตัวอย่างแนวคำพิพากษาที่เกี่ยวกับประกันรถยนต์

มีกรณีหนึ่งที่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า บริษัทประกันไม่อาจปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมได้ หากเงื่อนไขในกรมธรรม์ไม่ชัดเจนหรือมีความคลุมเครือ โดยอ้างอิงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 368 วรรคสอง ที่ระบุว่า
“ข้อสงสัยในสัญญาต้องตีความไปในทางที่เป็นคุณแก่ผู้ทำสัญญาซึ่งมิได้เป็นผู้ร่าง”

ดังนั้น หากบริษัทเป็นผู้ออกสัญญา ศาลจะตีความเข้าข้างผู้เอาประกันในกรณีที่เนื้อหาคลุมเครือ


ความรับผิดของเจ้าของรถตามกฎหมาย

แม้เจ้าของรถจะไม่ได้เป็นผู้ขับ แต่ยังมีความรับผิดร่วมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 437 หากปล่อยให้ผู้อื่นใช้รถและเกิดความเสียหายต่อบุคคลภายนอก

หากให้ผู้อื่นยืมรถ ควรตรวจสอบว่าเขามีใบอนุญาตขับขี่และไม่อยู่ในสภาพมึนเมา เพราะหากเกิดอุบัติเหตุ บริษัทประกันบางแห่งอาจปฏิเสธการชดใช้ได้


บทบาทของทนายในการจัดการคดีประกันรถยนต์

ในหลายกรณี ผู้เอาประกันอาจเสียเปรียบเพราะไม่เข้าใจเงื่อนไขของสัญญา หรือถูกบริษัทตีความเพื่อจำกัดสิทธิ เช่น

  • ปฏิเสธจ่ายเนื่องจากไม่ได้แจ้งเหตุทันที
  • ผู้ขับไม่ใช่บุคคลที่ระบุในกรมธรรม์
  • ตีความว่า “ชนสิ่งของ” ไม่ครอบคลุมบางกรณี

ทนายสามารถช่วยตรวจสัญญา วิเคราะห์สิทธิที่พึงได้ และดำเนินการทางกฎหมายเมื่อเกิดข้อพิพาท เพื่อให้ผู้เอาประกันได้รับความเป็นธรรม


สรุป

ประกันรถยนต์ไม่ใช่เพียงเรื่องภาคบังคับ แต่เป็นการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของผู้ใช้รถ การทำประกันที่เหมาะสมช่วยลดภาระทางการเงินในยามเกิดเหตุไม่คาดคิด และหากเกิดปัญหาการเคลมหรือข้อพิพาทกับบริษัทประกัน การมีที่ปรึกษาทางกฎหมายจะช่วยให้เรื่องจบลงอย่างถูกต้องตามกฎหมาย


ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม

สามารถติดต่อทนายวิรัชได้ที่
สายด่วน โทร 081-258-5681
หรือ Add Line: @732hjgrx

ให้คำปรึกษาด้านกฎหมายเกี่ยวกับประกันรถ การเคลม และข้อพิพาททางแพ่งอย่างเข้าใจง่ายและเป็นกันเอง