กฎหมายธุรกิจออนไลน์ 101: คู่มือฉบับเต็ม 3,000 คำ ที่คนขายของต้องรู้ (อัปเดต 2568)

คุณกำลังไลฟ์สดขายของอย่างสนุกสนาน… ยอด CF (Confirm Order) เข้ามาอย่างต่อเนื่อง… จนกระทั่งวันหนึ่ง มี “หมายเรียก” ส่งมาถึงหน้าบ้าน

นี่คือฝันร้ายที่ผู้ประกอบการออนไลน์หลายคนไม่อยากเจอ แต่กลับเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นบ่อยกว่าที่คิด

ในยุคที่ใครๆ ก็สามารถเป็นเจ้าของธุรกิจได้เพียงปลายนิ้ว การ “ไม่รู้กฎหมาย” ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะทำให้คุณพ้นผิดได้อีกต่อไป โลกออนไลน์ที่คุณคิดว่า “ทำอะไรก็ได้” แท้จริงแล้วมีกฎเกณฑ์และกรอบกติกาที่เข้มงวดควบคุมอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการโพสต์ขาย, การใช้รูปภาพ, การเก็บข้อมูลลูกค้า หรือแม้แต่การตอบแชท

บทความนี้ ไม่ได้เขียนขึ้นมาเพื่อ “ขู่” ให้คุณกลัว แต่เขียนขึ้นมาเพื่อ “คุ้มครอง” ธุรกิจของคุณ บทความนี้คือ “คู่มือ” ที่จะพาคุณไปสำรวจทุกแง่มุมของกฎหมายธุรกิจออนไลน์ที่สำคัญที่สุด โดยจะย่อยข้อมูลที่ซับซ้อนให้เข้าใจง่าย นำไปปฏิบัติได้จริง เพื่อให้คุณสามารถค้าขายได้อย่างสบายใจ และเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

เราจะมาดูกันว่า กฎหมายอะไรบ้างที่อยู่ใกล้ตัวคุณมากกว่าที่คิด?


ทำไม “คนขายออนไลน์” ต้องใส่ใจเรื่องกฎหมาย?

หลายคนอาจเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์จาก “Passion” หรือ “อาชีพเสริม” โดยคิดว่าเป็นเรื่องเล็กๆ ขายของใน Facebook, IG, TikTok หรือ Shopee/Lazada คงไม่ต่างจากการตั้งแผงขายของทั่วไป

นั่นคือความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนอย่างมหันตภัย

ความเสี่ยงที่มองไม่เห็น:

  1. ความเร็วในการแพร่กระจาย: ในโลกออฟไลน์ หากคุณทำป้ายโฆษณาผิดพลาด คนที่เห็นอาจมีจำกัด แต่ในโลกออนไลน์ โพสต์เดียวที่มีปัญหา สามารถถูกแชร์นับหมื่นครั้งในไม่กี่ชั่วโมง สร้างความเสียหายในวงกว้างและรวดเร็วจนคุณตั้งตัวไม่ทัน
  2. หลักฐานที่ชัดเจน: ทุกสิ่งที่คุณทำในโลกออนไลน์ถูกบันทึกไว้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นภาพแคปหน้าจอ (Screenshot), ประวัติการแชท, หรือข้อความที่คุณโพสต์แล้วลบไป หลักฐานเหล่านี้มัดตัวคุณได้อย่างง่ายดายในชั้นศาล
  3. กฎหมายใหม่ที่เข้มงวดขึ้น: กฎหมายอย่าง PDPA (คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล) ถูกออกแบบมาเพื่อ “โลกยุคใหม่” โดยตรง และมีบทลงโทษที่รุนแรงทั้งทางแพ่ง, อาญา และปกครอง (ค่าปรับ)

การทำธุรกิจออนไลน์โดยปราศจากความรู้ทางกฎหมาย ก็เหมือนกับการขับรถซูเปอร์คาร์โดยไม่ดูป้ายจราจร คุณอาจจะไปได้เร็ว แต่คุณไม่มีทางรู้เลยว่าจะเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงเมื่อไหร่

ในทางกลับกัน การเข้าใจกฎหมายจะช่วยให้คุณ:

  • สร้างความน่าเชื่อถือ: ลูกค้ายุคใหม่ฉลาด พวกเขามองหา “นโยบายความเป็นส่วนตัว” หรือ “เงื่อนไขการคืนสินค้า” ที่ชัดเจน
  • ป้องกันการถูกฟ้องร้อง: ลดความเสี่ยงในการถูกลูกค้า, คู่แข่ง หรือแม้แต่หน่วยงานรัฐ ดำเนินคดี
  • สร้างความได้เปรียบ: เมื่อคู่แข่งของคุณยังคงทำผิดกฎหมาย แต่คุณทำถูกต้อง คุณจะยืนอยู่ในจุดที่ปลอดภัยกว่าในระยะยาว

5 กฎหมาย “ตัวท็อป” ที่ธุรกิจออนไลน์ห้ามพลาดเด็ดขาด

มาดูกันว่า กฎหมายหลักๆ ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อคนขายของออนไลน์มีอะไรบ้าง

1. PDPA (พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562): เรื่องที่พลาดไม่ได้!

นี่คือ “ราชา” แห่งกฎหมายออนไลน์ในยุคนี้ และเป็นเรื่องที่คนทำธุรกิจพลาดกันมากที่สุด

PDPA คืออะไร? มันคือกฎหมายที่กำหนดว่า “ธุรกิจ” (ในที่นี้คือร้านค้าของคุณ) จะเก็บ, ใช้ หรือเปิดเผย “ข้อมูลส่วนบุคคล” ของ “ลูกค้า” ได้อย่างไรบ้าง

“ข้อมูลส่วนบุคคล” ของลูกค้า คืออะไรบ้าง?

  • ชื่อ-นามสกุล
  • ที่อยู่สำหรับจัดส่ง
  • เบอร์โทรศัพท์
  • Email
  • Line ID
  • รูปถ่ายในสลิปโอนเงิน (ที่มีหน้า, ชื่อ, หรือ QR ส่วนตัว)
  • เลขบัญชีธนาคาร (กรณีคืนเงิน)

คนขายออนไลน์เกี่ยวข้องตรงไหน?

  • ตอนเก็บ: คุณขอชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร ตอนลูกค้า CF
  • ตอนใช้: คุณใช้ข้อมูลนี้เพื่อจ่าหน้าซอง, ส่งของให้ขนส่ง (Flash, Kerry, ไปรษณีย์ไทย) และใช้เพื่อยิงแอด/ส่งโปรโมชั่น
  • ตอนเปิดเผย: คุณส่งข้อมูลให้ขนส่ง, คุณอาจจ้างแอดมินนอกช่วยแพ็กของ (แอดมินก็เห็นข้อมูล)

สิ่งที่ต้องทำ (Checklist เบื้องต้น):

  1. ขอความยินยอม (Consent):
    • หากคุณจะเก็บข้อมูลเพื่อ “การตลาด” (เช่น ส่งโปรโมชั่นในอนาคต, ทำ Lookalike Audience) คุณต้องขอความยินยอมจากลูกค้า “อย่างชัดเจน”
    • วิธีทำ: อาจเป็นการทำปุ่มให้ติ๊ก “ฉันยินยอมรับข่าวสาร…” ก่อนชำระเงิน หรือการแจ้งให้ทราบชัดเจนในแชท
    • ข้อยกเว้น: การเก็บข้อมูลเพื่อ “ส่งของ” (ตามสัญญาซื้อขาย) หรือเพื่อ “ปฏิบัติตามกฎหมาย” (เช่น ออกใบกำกับภาษี) อาจไม่ต้องขอ Consent แต่ต้องแจ้งให้เขาทราบ
  2. มี “นโยบายความเป็นส่วนตัว” (Privacy Policy / Privacy Notice):
    • นี่คือ “เอกสาร” สำคัญที่สุด ที่ต้องมี!
    • มันคือการ “ประกาศ” บอกลูกค้าอย่างชัดเจนว่า:
      • คุณเก็บข้อมูลอะไรบ้าง? (เช่น ชื่อ, ที่อยู่)
      • คุณเก็บไปทำไม? (เช่น เพื่อส่งของ, เพื่อการตลาด)
      • คุณเก็บไว้นานแค่ไหน? (เช่น 3 ปีหลังจากการซื้อครั้งสุดท้าย)
      • คุณส่งข้อมูลนี้ให้ใครบ้าง? (เช่น ขนส่ง, แพลตฟอร์มบัญชี)
      • ลูกค้ามีสิทธิอะไรบ้าง? (เช่น สิทธิขอให้ลบ, ขอให้แก้ไข)
    • ต้องวางไว้ที่ไหน? ควรวางในที่ที่เห็นง่าย เช่น ลิงก์บนหน้าเว็บไซต์, หน้า Bio, หรือใน Note ของเพจ
  3. ระบบความปลอดภัย:
    • คุณต้องมีมาตรการป้องกันข้อมูลลูกค้ารั่วไหล เช่น คอมพิวเตอร์ที่เก็บข้อมูลต้องมีรหัสผ่าน, จำกัดคนเข้าถึงข้อมูล
    • หายนะ: การที่ข้อมูลลูกค้ารั่วไหล (เช่น แอดมินทำไฟล์ Excel หลุด) อาจนำไปสู่ค่าปรับมหาศาล

ข้อควรระวัง: “การประจาน” การแคปแชทลูกค้าที่ไม่โอนเงิน, การโพสต์ชื่อ-ที่อยู่ของคนที่ “โกง” หรือ “CF แล้วหาย” ผิด PDPA ร้ายแรง รวมถึงอาจผิด พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ และหมิ่นประมาทด้วย ห้ามทำเด็ดขาด

2. พ.ร.บ. คุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.): โฆษณาเกินจริง…เรื่องใหญ่!

กฎหมายนี้มีมานาน แต่ถูกบังคับใช้เข้มงวดมากในโลกออนไลน์ หัวใจของมันคือ “ความซื่อสัตย์ต่อผู้บริโภค”

จุดที่คนขายออนไลน์มักทำผิด:

  1. การโฆษณา (Advertising):
    • ห้ามโฆษณาเกินจริง (Oversell):
      • “ใช้แล้วขาวทันทีใน 1 วัน”
      • “การันตีรักษาหาย 100%”
      • “ดีที่สุดในโลก” / “หนึ่งเดียวในไทย” (ถ้าพิสูจน์ไม่ได้)
    • ห้ามใช้ข้อความที่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด: เช่น ใช้รูปดารา/ผู้มีชื่อเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต หรืออ้างอิงผลวิจัยปลอม
    • การใช้ Before/After: ต้องระมัดระวังอย่างสูง โดยเฉพาะสินค้าสุขภาพและความงาม ต้องระบุว่า “ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล” และรูปต้องไม่ผ่านการตัดต่อบิดเบือนความจริง
  2. การทำสัญญา (Contract Terms):
    • ห้ามเอาเปรียบผู้บริโภค: เช่น การเขียนว่า “ซื้อแล้วห้ามคืนสินค้าในทุกกรณี” ข้อความนี้อาจ “เป็นโมฆะ” (บังคับใช้ไม่ได้)
    • กฎหมายการขายของออนไลน์ (ขายตรง/ตลาดแบบตรง): กฎหมายให้สิทธิผู้บริโภคที่ซื้อของออนไลน์ สามารถ “คืนสินค้า” (และขอเงินคืนเต็มจำนวน) ได้ภายใน 7 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับสินค้า โดยไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล! (มีข้อยกเว้นบ้างสำหรับสินค้าบางประเภท) การที่ร้านค้าปฏิเสธสิทธินี้ ถือว่าขัดต่อกฎหมาย
  3. ฉลากสินค้า (Labeling):
    • หากคุณเป็นเจ้าของแบรนด์ (ไม่ใช่แค่ตัวแทน) สินค้าของคุณต้องมีฉลากภาษาไทยที่ระบุข้อมูลสำคัญครบถ้วนตามที่ สคบ. กำหนด (เช่น ชื่อสินค้า, ผู้ผลิต/นำเข้า, วิธีใช้, วันเดือนปีที่ผลิต/หมดอายุ)
    • สินค้าควบคุมพิเศษ (เช่น เครื่องสำอาง, อาหารเสริม) ต้องมีเลขที่จดแจ้ง (อย.) ชัดเจน

3. พ.ร.บ. ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์: “CF” ในแชท คือ “สัญญา”

กฎหมายฉบับนี้คือสิ่งที่รับรองว่า “การตกลงกันทางออนไลน์” มีผลผูกพันทางกฎหมาย ไม่ต่างจากการเซ็นเอกสารกระดาษ

ประเด็นสำคัญสำหรับคนขายออนไลน์:

  • “CF” คือ “สัญญาซื้อขาย”:
    • เมื่อคุณโพสต์ขายสินค้า (นี่คือ “คำเชิญชวน”)
    • ลูกค้าทักมาว่า “รับ 1 ชิ้น” หรือพิมพ์ “CF” (นี่คือ “คำเสนอ”)
    • คุณตอบกลับว่า “ยืนยันค่ะ” หรือ “รับยอดค่ะ” (นี่คือ “คำสนอง”)
    • ณ จุดนี้ “สัญญาซื้อขาย” ได้เกิดขึ้นแล้ว มีผลทางกฎหมายทันที แม้ว่าลูกค้าจะยังไม่โอนเงินก็ตาม
  • ภาพแคปหน้าจอ (Screenshot) คือหลักฐาน:
    • แชทใน Line, Messenger, หรือ Comment ใน Live สด สามารถใช้เป็น “หลักฐานการทำสัญญา” ในชั้นศาลได้
    • ดังนั้น การที่ลูกค้าบอกว่า “CF no CC” (Confirm No Cancel) แล้วมาขอยกเลิกทีหลัง ตามหลักกฎหมาย ลูกค้ากำลัง “ผิดสัญญา”
  • ปัญหาโลกแตก: CF แล้วไม่โอน ทำอย่างไร?
    • ทางกฎหมาย: คุณมีสิทธิฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้ (ถ้าความเสียหายนั้นพิสูจน์ได้)
    • ทางปฏิบัติ: การฟ้องร้องอาจไม่คุ้มค่ากับค่าเสียเวลาและค่าทนาย
    • ทางออก: สิ่งที่คุณทำได้คือ “ทวงถาม” (ทวงหนี้) หรือ “เก็บหลักฐาน” ไว้เพื่อ Blacklist แต่ดังที่กล่าวไป ห้ามนำไปประจาน
    • การป้องกัน: การให้ลูกค้าชำระเงินมัดจำ หรือการตั้งระบบชำระเงินอัตโนมัติ จะช่วยลดปัญหานี้ได้ดีกว่าการไล่ฟ้องร้องทีหลัง

4. พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ: โพสต์มั่ว…ระวังติดคุก!

พ.ร.บ. คอมฯ ไม่ได้มีไว้จัดการแค่แฮกเกอร์ แต่มีไว้จัดการ “เนื้อหา” ที่เป็นปัญหาบนโลกออนไลน์ด้วย

มาตราที่เกี่ยวข้องกับคนขายของโดยตรง:

  • มาตรา 14(1) นำเข้าข้อมูลเท็จ:
    • การโพสต์โฆษณาสินค้าที่ “หลอกลวง” ผู้บริโภค
    • เช่น อ้างสรรพคุณที่ไม่มีอยู่จริง, ขายของปลอมแต่บอกว่าของแท้, หรือสร้างรีวิวปลอม (จ้างหน้าม้ามารีวิว)
    • นี่คือความผิดอาญา มีโทษจำคุก!
  • มาตรา 14(2) นำเข้าข้อมูลเท็จที่กระทบความมั่นคงหรือเศรษฐกิจ:
    • การโพสต์ข้อมูลที่สร้างความตื่นตระหนก เช่น ข่าวปลอมเกี่ยวกับโรคระบาดเพื่อขายสินค้าสุขภาพ
  • มาตรา 16 การเผยแพร่ภาพตัดต่อ/ดัดแปลง:
    • การนำภาพลูกค้าไปตัดต่อในทางที่เสียหาย หรือการนำภาพคู่แข่งไปดัดแปลงให้ดูแย่

พ.ร.บ. คอมฯ กับ “การหมิ่นประมาท” (Defamation): แม้การหมิ่นประมาทจะมีกฎหมายอาญาปกติควบคุมอยู่แล้ว แต่เมื่อทำผ่าน “ออนไลน์” มันจะเข้า พ.ร.บ. คอมฯ ด้วย (ม.14(1) ในบางแง่มุม หรือ ม.16) ซึ่งมีโทษหนักกว่าการพูดหมิ่นประมาทต่อหน้า

  • กรณีร้านค้าถูกหมิ่น: ลูกค้าใช้คำหยาบคาย, โพสต์รีวิวเท็จที่ทำให้ร้านเสียหาย (ไม่ใช่การติชมโดยสุจริต)
  • กรณีร้านค้าหมิ่นผู้อื่น: การโพสต์โจมตีคู่แข่งว่า “ร้าน…โกง” หรือการประจานลูกหนี้ (ซึ่งเข้าข่ายหมิ่นประมาท + PDPA + พ.ร.บ.ทวงถามหนี้)

5. กฎหมายลิขสิทธิ์และเครื่องหมายการค้า: ใช้รูปมั่ว…เจ็บหนัก!

นี่คือ “กับระเบิด” ลูกใหญ่ที่สุดที่เจ้าของธุรกิจมักเหยียบโดยไม่รู้ตัว

1. ลิขสิทธิ์ (Copyright):

  • คืออะไร: คือสิทธิในการเป็นเจ้าของ “งานสร้างสรรค์” เช่น รูปถ่าย, บทความ, แคปชั่น, คลิปวิดีโอ, เพลง
  • เกิดขึ้นเมื่อไหร่: เกิดขึ้น “ทันที” ที่สร้างสรรค์ (เช่น ทันทีที่คุณกดชัตเตอร์ถ่ายรูปสินค้า) โดยไม่ต้องจดทะเบียน
  • การละเมิดที่พบบ่อย:
    • ดูดรูป: การไปเซฟรูปสินค้าจากร้านอื่น, จาก Google, จาก Pinterest มาใช้ในร้านตัวเอง นี่คือการละเมิดลิขสิทธิ์ 100%
    • ก๊อปแคปชั่น: การคัดลอกคำโฆษณาหรือบทความรีวิวของคนอื่นมาใช้ทั้งดุ้น
    • ใช้เพลงใน Live/VDO: การเปิดเพลงดังที่มีลิขสิทธิ์ประกอบการไลฟ์สด หรือในคลิป TikTok/Reels โดยไม่ได้รับอนุญาต (แม้แพลตฟอร์มจะมีคลังเพลงให้ แต่การใช้เพื่อ “การค้า” ต้องระวังเป็นพิเศษ)
  • ค่าเสียหาย: เจ้าของลิขสิทธิ์สามารถฟ้องเรียกค่าเสียหายได้สูงมาก และเป็นคดีอาญา (มีโทษจำคุก)

2. เครื่องหมายการค้า (Trademark):

  • คืออะไร: คือ “แบรนด์” ของคุณ (โลโก้, ชื่อร้าน, สโลแกน) ที่ใช้แยกร้านคุณออกจากร้านอื่น
  • เกิดขึ้นเมื่อไหร่: ได้รับความคุ้มครอง “เมื่อจดทะเบียน” กับกรมทรัพย์สินทางปัญญาเท่านั้น
  • ความสำคัญ:
    • ถ้าคุณไม่จด: คุณขายของจนดัง วันดีคืนดี “คู่แข่ง” ไปจดเครื่องหมายการค้า “ตัดหน้า” คุณ (โดยใช้ชื่อเดียวกับคุณ) คราวนี้… คู่แข่งจะกลายเป็นเจ้าของสิทธิ์ และคุณจะกลายเป็น “ผู้ละเมิด” ทันที
    • ถ้าคุณไปซ้ำคนอื่น: คุณตั้งชื่อแบรนด์โดยไม่ได้ตรวจสอบ ไปซ้ำกับแบรนด์ที่เขาจดทะเบียนไว้แล้ว คุณอาจได้รับ “จดหมายเตือน” (Cease and Desist) ให้หยุดใช้ และถูกเรียกค่าเสียหายมหาศาล
    • การขายของปลอม: นี่คือการละเมิดเครื่องหมายการค้าที่ร้ายแรงที่สุด

Case Study: ปัญหายอดฮิตที่คนขายออนไลน์ต้องเจอ และแนวทางรับมือ

ลองมาดูสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้นบ่อยๆ และแนวทางที่ถูกต้องตามกฎหมาย

กรณีที่ 1: ลูกค้ารีวิวโจมตี “ร้านนี้โกง” “ของปลอม” ทั้งที่ไม่เป็นความจริง

การ “ติชมโดยสุจริต” (เช่น “รอของนาน”, “รสชาติไม่ถูกปาก”) เป็นสิทธิที่ผู้บริโภคทำได้ แต่การ “ยืนยันข้อเท็จจริงที่เป็นเท็จ” (เช่น “ร้านนี้โกง” ทั้งที่คุณส่งของ) หรือใช้คำหยาบคายรุนแรง (เช่น “E…”)

  • กฎหมายที่เกี่ยวข้อง: หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา (อาญา) และ พ.ร.บ. คอมฯ ม.14(1)
  • แนวทางรับมือ:
    1. ห้ามตอบโต้ด้วยอารมณ์: อย่าด่ากลับ เพราะคุณจะผิดกฎหมายเสียเอง
    2. เก็บหลักฐาน: แคปหน้าจอโพสต์หรือคอมเมนต์นั้นทันที (แคปให้เห็น URL, วันที่, เวลา, และตัวตนของ User ผู้โพสต์)
    3. ติดต่อส่วนตัว: ลองทักแชทไปพูดคุยอย่างสุภาพเพื่อทำความเข้าใจปัญหาและขอให้เขาลบโพสต์
    4. ชี้แจงข้อเท็จจริง (ถ้าจำเป็น): หากการโจมตีรุนแรงและสร้างความเสียหายในวงกว้าง คุณอาจต้องโพสต์ชี้แจงข้อเท็จจริงในพื้นที่ของคุณเอง “โดยห้ามเอ่ยชื่อ” หรือ “ห้ามแคปแชท” ลูกค้ามาโพสต์ แต่ให้ชี้แจงลอยๆ ว่า “จากเหตุการณ์…” และแสดงหลักฐาน (เช่น สลิปการส่งของ) เพื่อปกป้องชื่อเสียง
    5. ดำเนินการทางกฎหมาย: หากตกลงกันไม่ได้ และคุณได้รับความเสียหายชัดเจน คุณมีสิทธิในการดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญา

กรณีที่ 2: ร้านคู่แข่ง “ก๊อปรูป” และ “ก๊อปแคปชั่น” ไปใช้ทั้งดุ้น

  • กฎหมายที่เกี่ยวข้อง: ละเมิดลิขสิทธิ์ (ทรัพย์สินทางปัญญา)
  • แนวทางรับมือ:
    1. ทำเครื่องหมายป้องกัน: ใส่ลายน้ำ (Watermark) บนรูปสินค้าของคุณ (แต่อย่าให้บดบังสาระสำคัญของสินค้า)
    2. เก็บหลักฐาน: แคปหน้าจอร้านคู่แข่งที่ใช้รูป/ข้อความของคุณ เปรียบเทียบกับต้นฉบับของคุณ
    3. ส่งจดหมายเตือน (Notice): ติดต่อร้านคู่แข่งโดยตรงอย่างเป็นทางการ (ทักแชท หรือหากมีที่อยู่ ก็ส่งจดหมายเตือน) ให้พวกเขาลบเนื้อหาที่ละเมิดออกภายในเวลาที่กำหนด (เช่น 3-7 วัน)
    4. Report แพลตฟอร์ม: แพลตฟอร์มส่วนใหญ่ (Shopee, Lazada, Facebook) มีช่องทางให้รายงานการละเมิดลิขสิทธิ์/เครื่องหมายการค้าโดยตรง
    5. ดำเนินการทางกฎหมาย: หากการเตือนไม่ได้ผล และการละเมิดนั้นสร้างความเสียหายให้ยอดขายของคุณอย่างชัดเจน การดำเนินการทางกฎหมายคือขั้นสุดท้าย

กรณีที่ 3: จ้าง Influencer รีวิวสินค้า แต่เกิดปัญหา (รีวิวไม่ดี, ไม่ยอมโพสต์)

  • กฎหมายที่เกี่ยวข้อง: สัญญาจ้างทำของ หรือ สัญญาจ้างบริการ (กฎหมายแพ่งและพาณิชย์)
  • แนวทางรับมือ (ป้องกันดีกว่าแก้):
    1. ต้องมี “สัญญา” เสมอ: อย่าตกลงงานด้วย “ปากเปล่า” หรือ “แชท” เพียงอย่างเดียว ควรมีสัญญาจ้างรีวิวที่ชัดเจน (Blogger/Influencer Agreement)
    2. สิ่งที่ต้องระบุในสัญญา:
      • ขอบเขตงาน (Scope of Work): โพสต์กี่ช่องทาง (FB, IG, TikTok), รูปแบบ (ภาพนิ่ง, VDO กี่นาที), โพสต์วันไหน, เวลาใด
      • ข้อตกลงเรื่องเนื้อหา (Content): คอนเซปต์คืออะไร, สิ่งที่ห้ามพูด (Do & Don’t), ต้องติด Hashtag อะไรบ้าง
      • การส่งตรวจงาน (Draft Submission): ลูกค้า (ร้านค้า) มีสิทธิแก้ไขงานได้กี่ครั้ง
      • ค่าตอบแทน: จ่ายเมื่อไหร่ (มัดจำ 50% / จ่าย 100% เมื่องานเสร็จ)
      • ความเป็นเจ้าของสิทธิ์: ร้านค้ามีสิทธินำรูป/VDO นั้นไปยิงแอดต่อได้หรือไม่? ได้นานแค่ไหน?
      • ข้อตกลงกรณีผิดสัญญา: หากโพสต์ช้า, โพสต์ผิดคอนเซปต์, หรือไม่โพสต์เลย จะมีบทปรับหรือคืนเงินอย่างไร
    3. เมื่อเกิดปัญหา: กลับไปดู “สัญญา” ที่ตกลงกันไว้ และดำเนินการตามนั้น หากไม่มีสัญญา การเจรจาไกล่เกลี่ยคือทางออกที่ดีที่สุด

สรุป: กฎหมายไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่คือ “รั้ว” ของธุรกิจ

การทำธุรกิจออนไลน์ในยุคนี้ เปรียบเหมือนการสร้างบ้าน การตลาดและการขายคือการตกแต่งบ้านให้สวยงาม แต่ “กฎหมาย” คือ “เสาเข็ม” และ “รั้ว”

หากเสาเข็มไม่แข็งแรง (ไม่เข้าใจกฎหมายธุรกรรม) หรือไม่มีรั้ว (ไม่ทำ PDPA, ปล่อยให้คนอื่นละเมิดลิขสิทธิ์) บ้านของคุณก็พร้อมจะพังทลายหรือถูกบุกรุกได้ทุกเมื่อ

บทความนี้เป็นเพียงภาพรวมของกฎหมายที่สำคัญเท่านั้น ในการปฏิบัติจริงยังมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมาก การเริ่มต้นศึกษาและปรับใช้กฎหมายตั้งแต่วันนี้ คือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด เพื่อปกป้องธุรกิจที่คุณรักให้เติบโตอย่างมั่นคง


การนำทางในโลกธุรกิจออนไลน์ที่มีกฎหมายซับซ้อนอาจเป็นเรื่องที่น่ากังวล หากคุณเป็นผู้ประกอบการที่กำลังพบปัญหา หรือต้องการวางระบบหลังบ้านให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อการเติบโตอย่างสบายใจ

สามารถติดต่อทนายวิรัชได้ที่ สายด่วน โทร 0812585681 หรือ add line @732hjgrx

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *