ทางแยกของชีวิตคู่: คู่มือฉบับสมบูรณ์ว่าด้วยการ “ฟ้องหย่า” และสิ่งที่ต้องเตรียมพร้อม

การตัดสินใจยุติความสัมพันธ์ในชีวิตสมรสเป็นหนึ่งในการตัดสินใจที่หนักหน่วงและซับซ้อนที่สุดในชีวิต เมื่อการเดินทางร่วมกันมาถึงจุดที่ไม่อาจไปต่อได้ และการพูดคุยเพื่อ “หย่าโดยความยินยอม” ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ “การฟ้องหย่า” หรือการหย่าโดยคำพิพากษาของศาล จึงกลายเป็นทางเลือกที่จำเป็นตามกฎหมาย

บทความนี้ไม่ได้มีเจตนาส่งเสริมการสิ้นสุดของสถาบันครอบครัว แต่ถูกเขียนขึ้นเพื่อเป็น “คู่มือ” ให้ความรู้และสร้างความเข้าใจ สำหรับผู้ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ การมีความรู้ความเข้าใจในสิทธิ หน้าที่ และขั้นตอนต่างๆ ที่ถูกต้อง จะช่วยให้คุณสามารถวางแผนและเตรียมตัวรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้อย่างรอบคอบที่สุด

ทำความเข้าใจ: “หย่าโดยความยินยอม” กับ “การฟ้องหย่า” ต่างกันอย่างไร?

ในกฎหมายไทย การหย่ามี 2 รูปแบบหลัก:

  1. การหย่าโดยความยินยอม (การหย่าที่อำเภอ): เป็นวิธีที่ง่าย รวดเร็ว และประหยัดที่สุด ทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้ในทุกเรื่อง (เช่น สินสมรส, หนี้สิน, การปกครองบุตร) และจูงมือกันไปจดทะเบียนหย่าที่สำนักงานเขตหรือที่ว่าการอำเภอ
  2. การฟ้องหย่า (การหย่าโดยคำพิพากษา): เป็นกระบวนการที่ต้องใช้ศาล เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ยินยอมหย่า หรือตกลงกันในประเด็นสำคัญ (เช่น สินสมรส, ค่าเลี้ยงดู, อำนาจปกครองบุตร) ไม่ได้ หรืออีกฝ่ายไม่สามารถติดต่อได้

บทความนี้จะมุ่งเน้นไปที่ “การฟ้องหย่า” ซึ่งเป็นกระบวนการทางศาลที่มีรายละเอียดและขั้นตอนที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด


H2: หัวใจสำคัญของการฟ้องหย่า: “เหตุแห่งการฟ้องหย่า” (Grounds for Divorce)

คุณไม่สามารถเดินเข้าไปในศาลและบอกว่า “อยากหย่า” โดยไม่มีเหตุผลที่กฎหมายรองรับได้ การฟ้องหย่าจะต้องมี “เหตุ” ตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 ได้บัญญัติไว้ ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ (โปรดทราบว่านี่คือเหตุผลหลักๆ ที่พบบ่อย):

1. สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี (การมีชู้)

นี่คือเหตุผลคลาสสิกและชัดเจนที่สุด

  • สำหรับฝ่ายสามี: หากภริยามีชู้ (ร่วมประเวณีกับชายอื่น) ฝ่ายสามีสามารถฟ้องหย่าได้
  • สำหรับฝ่ายภริยา: หากสามีไปอุปการะเลี้ยงดู หรือยกย่องผู้หญิงอื่นเสมือนเป็นภริยา (ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ถึงขั้นการร่วมประเวณี แต่ต้องแสดงให้เห็นถึงการแสดงออกต่อสังคมว่าอยู่กินกันฉันสามีภริยา) ฝ่ายภริยาก็สามารถฟ้องหย่าได้
  • การฟ้องเรียกค่าทดแทน: นอกจากฟ้องหย่าแล้ว ฝ่ายที่ถูกนอกใจยังมีสิทธิฟ้องเรียก “ค่าทดแทน” จากคู่สมรสของตน และจาก “ชู้” หรือ “หญิงอื่นที่แสดงตนโดยเปิดเผย” นั้นได้ด้วย

2. สามีหรือภริยาประพฤติชั่ว

คำว่า “ประพฤติชั่ว” นั้นกว้าง แต่ในทางกฎหมายมักหมายถึง การกระทำที่ร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นความผิดอาญาหรือไม่ก็ตาม ที่ทำให้อีกฝ่ายหนึ่ง:

  • ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง
  • ได้รับความดูถูกเกลียดชัง
  • ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินควร
  • ตัวอย่าง: การติดสุรายาเมาอย่างหนัก, การเล่นการพนันเป็นอาจิณ, การลักขโมย, การฉ้อโกง จนส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงและฐานะของครอบครัว

3. สามีหรือภริยาทำร้าย หรือ ทรมานร่างกายหรือจิตใจ

การกระทำนี้รวมถึง:

  • การทำร้ายร่างกาย: ไม่จำเป็นต้องถึงขั้นบาดเจ็บสาหัส แม้เป็นการตบตีเพียงเล็กน้อยแต่ทำบ่อยครั้งก็เข้าข่าย
  • การทรมานจิตใจ: การด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคาย การข่มขู่ การดูหมิ่นเหยียดหยามอย่างร้ายแรงและต่อเนื่อง
  • การหมิ่นประมาทบุพการี: การด่าทอหรือหมิ่นประมาทพ่อแม่ของอีกฝ่าย ก็ถือเป็นเหตุฟ้องหย่าได้เช่นกัน

4. สามีหรือภริยาจงใจละทิ้งร้างอีกฝ่ายหนึ่งไปเกิน 1 ปี

นี่คือเหตุผลคลาสสิกอีกข้อหนึ่ง

  • องค์ประกอบ: ต้องเป็นการ “จงใจ” ที่จะไป และ “ทอดทิ้ง” โดยไม่ติดต่อกลับมา ไม่ส่งข่าวคราว ไม่ให้การอุปการะเลี้ยงดู เป็นเวลาติดต่อกันเกิน 1 ปี
  • กรณีไม่เข้าข่าย: หากการแยกกันอยู่เกิดจากการตกลงกัน (เช่น ไปทำงานต่างจังหวัดและยังส่งเงินให้) หรืออีกฝ่ายเป็นคนไล่ออกจากบ้าน กรณีนี้อาจไม่นับว่าเป็นการจงใจทอดทิ้ง

5. สามีหรือภริยาต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก

หากคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกจำคุกเกิน 1 ปี ในความผิดที่อีกฝ่ายไม่ได้มีส่วนร่วม และการอยู่กินด้วยกันต่อไปจะทำให้อีกฝ่ายได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินควร ก็สามารถใช้เป็นเหตุฟ้องหย่าได้

6. สามีและภริยาสมัครใจแยกกันอยู่

หากทั้งคู่ “ตกลง” ที่จะแยกกันอยู่ เพราะไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุข และได้แยกกันอยู่เช่นนั้น “เกิน 3 ปี” ก็สามารถใช้เป็นเหตุฟ้องหย่าได้

7. เหตุอื่นๆ ตามกฎหมาย

นอกจากนี้ยังมีเหตุอื่นๆ เช่น การไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูตามสมควร, การเป็นคนวิกลจริตเกิน 3 ปี, การผิดทัณฑ์บนที่ทำไว้เป็นหนังสือเรื่องความประพฤติ, การเป็นโรคติดต่ออย่างร้ายแรงที่อาจเป็นภัยแก่อีกฝ่าย, หรือการมีสภาพร่างกายที่ไม่อาจร่วมประเวณีได้ถาวร

สิ่งสำคัญ: การฟ้องหย่าในเหตุใดเหตุหนึ่ง ต้องมี “พยานหลักฐาน” ที่ชัดเจน ศาลจะไม่รับฟังเพียงคำกล่าวอ้างลอยๆ


H2: กระบวนการและขั้นตอนการฟ้องหย่าในชั้นศาล (The Divorce Process)

เมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะต้องดำเนินการฟ้องหย่า กระบวนการในศาลยุติธรรม (ศาลเยาวชนและครอบครัว) จะมีขั้นตอนหลักๆ ดังนี้:

ขั้นตอนที่ 1: การเตรียมคดีและร่างคำฟ้อง

นี่คือขั้นตอนที่สำคัญที่สุด

  • การรวบรวมหลักฐาน: ต้องรวบรวมหลักฐานที่สนับสนุน “เหตุแห่งการฟ้องหย่า” ที่คุณกล่าวอ้าง เช่น
    • (กรณีมีชู้) รูปถ่าย, คลิปวิดีโอ, ข้อความแชท, หลักฐานการโอนเงิน, พยานบุคคล
    • (กรณีทำร้ายร่างกาย) ใบรับรองแพทย์, รูปถ่ายบาดแผล, บันทึกประจำวันจากตำรวจ
    • (กรณีทอดทิ้ง) พยานหลักฐานที่แสดงว่าไม่ได้ติดต่อกัน, หลักฐานการย้ายที่อยู่
  • การรวบรวมเอกสาร: ทะเบียนสมรส, สูติบัตรบุตร, ทะเบียนบ้าน, บัตรประชาชน, เอกสารเกี่ยวกับทรัพย์สิน (โฉนดที่ดิน, ทะเบียนรถ, บัญชีธนาคาร), เอกสารหนี้สิน
  • การร่างคำฟ้อง: ทนายความจะนำข้อมูลและหลักฐานทั้งหมดมาเรียบเรียงเป็น “คำฟ้อง” โดยระบุเหตุแห่งการฟ้องหย่า และคำขอท้ายฟ้องว่าต้องการให้ศาลมีคำพิพากษาในเรื่องใดบ้าง (เช่น ขอหย่า, ขออำนาจปกครองบุตร, ขอแบ่งสินสมรส, ขอค่าเลี้ยงดู)

ขั้นตอนที่ 2: การยื่นฟ้องต่อศาล

ทนายความจะยื่นคำฟ้องต่อศาลเยาวชนและครอบครัวที่มีเขตอำนาจ (เช่น ศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ หรือศาลที่มูลคดีเกิดขึ้น) เมื่อศาลรับฟ้องแล้ว ศาลจะกำหนดวันนัดและส่ง “หมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง” ไปให้จำเลย (คู่สมรสอีกฝ่าย)

ขั้นตอนที่ 3: การยื่นคำให้การ (โดยฝ่ายจำเลย)

เมื่อจำเลยได้รับหมายเรียกแล้ว จะต้องยื่น “คำให้การ” ต่อสู้คดีภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด (ปกติคือ 15 วัน) หากจำเลยไม่ยื่นคำให้การ ศาลอาจพิจารณาคดีไปฝ่ายเดียว (ขาดนัดยื่นคำให้การ)

ขั้นตอนที่ 4: วันนัดไกล่เกลี่ย (Mediation Day)

คดีครอบครัวเป็นคดีที่ละเอียดอ่อน กฎหมายจึงกำหนดให้ต้องมีการ “ไกล่เกลี่ย” ก่อนเสมอ

  • ศาลจะตั้งผู้ประนีประนอม (ผู้พิพากษาสมทบหรือเจ้าหน้าที่) มาช่วยพูดคุยเจรจากับทั้งสองฝ่าย
  • เป้าหมาย: เพื่อหาข้อตกลงร่วมกันโดยไม่ต้องสืบพยาน หากตกลงกันได้ทุกประเด็น (เช่น ยอมหย่า, ตกลงเรื่องทรัพย์สินและบุตรได้) ศาลก็จะทำ “สัญญาประนีประนอมยอมความ” และพิพากษาตามยอม คดีก็จะจบลงในวันนั้น
  • นี่คือกระบวนการที่ลดความขัดแย้งได้ดีที่สุด

ขั้นตอนที่ 5: การสืบพยาน (Trial)

หากการไกล่เกลี่ยไม่สำเร็จ (เช่น จำเลยไม่ยอมหย่า หรือตกลงเรื่องทรัพย์สิน/บุตรไม่ได้) คดีก็จะเข้าสู่กระบวนการ “สืบพยาน”

  • ทั้งฝ่ายโจทก์ (ผู้ฟ้อง) และฝ่ายจำเลย (ผู้ถูกฟ้อง) จะต้องนำพยานหลักฐานที่ตนมีมาเสนอต่อศาล
  • ทนายความของแต่ละฝ่ายจะทำการซักถามพยานฝ่ายตนเอง และ “ถามค้าน” พยานของอีกฝ่าย เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงต่อหน้าศาล

ขั้นตอนที่ 6: การทำคำพิพากษา

หลังจากสืบพยานเสร็จสิ้น ศาลจะใช้เวลาพิจารณาพยานหลักฐานทั้งหมด และนัดฟัง “คำพิพากษา” ศาลจะวินิจฉัยว่าเหตุแห่งการฟ้องหย่ามีอยู่จริงหรือไม่ และจะตัดสินในประเด็นที่ขัดแย้งกัน (เช่น ให้หย่าหรือไม่, ใครได้อำนาจปกครองบุตร, แบ่งสินสมรสอย่างไร)

ขั้นตอนที่ 7: การจดทะเบียนหย่า

หลังจากศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด (ไม่มีการอุทธรณ์ฎีกาต่อ) ให้นำคำพิพากษาและหนังสือรับรองคดีถึงที่สุด ไปยื่นจดทะเบียนหย่าที่สำนักงานเขตหรือที่ว่าการอำเภอ การหย่าจึงจะมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย


H2: 3 ประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาในการฟ้องหย่า

นอกจากการหย่าขาดจากกันแล้ว การฟ้องหย่ามักมี 3 ประเด็นหลักที่ต้องต่อสู้และตกลงกัน ซึ่งมีความซับซ้อนอย่างมาก:

1. การแบ่งสินสมรส (Division of Marital Assets)

นี่คือข้อพิพาทที่พบบ่อยที่สุด

  • สินส่วนตัว: คือทรัพย์สินที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีมาก่อนสมรส, ได้รับมาโดยมรดก, หรือโดยการให้โดยเสน่หา (เช่น พ่อแม่ยกที่ดินให้) หรือของหมั้น สินส่วนตัวนี้ ไม่ต้องแบ่ง
  • สินสมรส: คือทรัพย์สินที่ “ทำมาหาได้ร่วมกัน” ในระหว่างสมรส หรือได้มาระหว่างสมรส (แม้ว่าจะเป็นชื่อของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ตาม) เช่น
    • เงินเดือน โบนัส
    • บ้าน รถ ที่ดิน ที่ซื้อระหว่างสมรส
    • ดอกผลของสินส่วนตัว (เช่น ค่าเช่าบ้านที่ได้มาก่อนสมรส)
  • หลักการแบ่ง: ตามกฎหมาย สินสมรสจะถูกแบ่ง “คนละครึ่ง” (50/50)
  • หนี้สิน: หนี้ที่ก่อขึ้นร่วมกันเพื่อครอบครัว (เช่น กู้ซื้อบ้านร่วมกัน) ก็ถือเป็น “หนี้ร่วม” ที่ต้องรับผิดชอบร่วมกันด้วย

2. อำนาจปกครองบุตร (Child Custody)

หากมีบุตรผู้เยาว์ (อายุไม่ถึง 20 ปีบริบูรณ์) นี่คือประเด็นที่ละเอียดอ่อนที่สุด

  • ระหว่างสมรส: พ่อและแม่มีอำนาจปกครองบุตรร่วมกัน
  • หลังการหย่า: ต้องมีการกำหนดว่าใครจะเป็นผู้มี “อำนาจปกครองบุตร” (Sole Custody) หรือจะยังคงมี “อำนาจปกครองบุตรร่วมกัน” (Joint Custody)
  • การพิจารณาของศาล: ศาลไม่ได้ตัดสินจาก “ความต้องการ” ของพ่อแม่เป็นหลัก แต่ศาลจะพิจารณาจาก “ประโยชน์สูงสุดของบุตร” (The Best Interest of the Child) เป็นสำคัญ โดยดูจาก:
    • ความสามารถในการเลี้ยงดู (ฐานะการเงิน, เวลา, สุขภาพ)
    • สภาพแวดล้อมและที่อยู่อาศัย
    • ความผูกพันของบุตรกับแต่ละฝ่าย
    • หากบุตรโตพอที่จะแสดงความคิดเห็นได้ ศาลอาจรับฟังความต้องการของบุตรด้วย

3. ค่าอุปการะเลี้ยงดู (Support Payments)

การหย่าไม่ได้หมายความว่าภาระหน้าที่ต่อบุตรจะสิ้นสุดลง

  • ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร (Child Support): ฝ่ายที่ไม่ได้เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตร (หรือแม้จะปกครองร่วม แต่รายได้น้อยกว่า) มีหน้าที่ต้องช่วยส่งเสีย “ค่าเลี้ยงดูบุตร” จนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะ (อายุ 20 ปี)
  • การคำนวณ: ศาลจะพิจารณาจาก “ความจำเป็นของบุตร” (ค่าเทอม, ค่ากินอยู่, ค่ารักษาพยาบาล) และ “ความสามารถในการจ่าย” ของผู้ปกครองทั้งสองฝ่าย
  • ค่าเลี้ยงดูคู่สมรส (Alimony): ในบางกรณี หากการหย่าทำให้อีกฝ่ายหนึ่ง “ยากจนลง” เพราะไม่มีรายได้ (เช่น เป็นแม่บ้านมาตลอด) และเหตุแห่งการหย่าไม่ได้เกิดจากความผิดของฝ่ายนั้น ศาลอาจสั่งให้คู่สมรสอีกฝ่ายจ่าย “ค่าเลี้ยงดู” (หรือค่าทดแทน) ให้เป็นรายเดือนหรือเป็นก้อนก็ได้

H2: คำถามที่พบบ่อย (FAQ) ในการดำเนินการฟ้องหย่า

Q1: ถ้าไม่มีเงินจ้างทนายความ จะฟ้องหย่าได้หรือไม่? A: คดีฟ้องหย่ามีความซับซ้อนทางกฎหมายสูง การมีทนายความเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม หากคุณมีรายได้น้อยและไม่ได้รับความเป็นธรรม คุณสามารถติดต่อ “สภาทนายความ” หรือ “สำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิ” เพื่อขอความช่วยเหลือด้านทนายความอาสาได้

Q2: การฟ้องหย่าใช้เวลานานแค่ไหน? A: ไม่สามารถระบุเวลาที่แน่นอนได้

  • หากไกล่เกลี่ยสำเร็จ: อาจจบได้ภายใน 1-2 วันนัด (ประมาณ 2-4 เดือน)
  • หากต้องสืบพยาน: อาจใช้เวลา 6 เดือน ถึง 1 ปี หรือนานกว่านั้นในชั้นศาลต้น ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของคดีและจำนวนพยาน

Q3: ถ้าอีกฝ่ายไม่มาศาลในวันนัดเลย จะเกิดอะไรขึ้น? A: หากศาลส่งหมายเรียกโดยชอบแล้ว และจำเลยจงใจไม่มาศาลหรือไม่ยื่นคำให้การ ศาลสามารถพิจารณาคดีไปฝ่ายเดียวได้ เรียกว่า “การพิจารณาคดีโดยขาดนัด” ศาลจะฟังพยานหลักฐานของฝ่ายโจทก์และพิพากษาไปตามสมควร

Q4: ฟ้องชู้ (เรียกค่าทดแทน) ต้องทำอย่างไร? A: คุณสามารถฟ้องชู้ (หรือหญิงอื่นที่แสดงตนโดยเปิดเผย) เข้ามาในคดีฟ้องหย่าได้เลย หรือจะฟ้องเป็นคดีแยกต่างหากก็ได้ โดยต้องมีหลักฐานที่ชัดเจนว่าบุคคลนั้นมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับคู่สมรสของคุณ

Q5: ไม่ได้จดทะเบียนสมรส แต่อยู่กินด้วยกันและมีลูก ต้องฟ้องหย่าหรือไม่? A: ไม่ต้องฟ้องหย่า เพราะไม่มีนิติสัมพันธ์ในฐานะสามีภริยาตามกฎหมาย แต่หากมีปัญหากันในเรื่อง “บุตร” หรือ “ทรัพย์สิน” จะต้องดำเนินการทางศาลในเรื่องอื่นแทน:

  • เรื่องบุตร: ต้องมีการ “ฟ้องขอรับรองบุตร” เพื่อให้บุตรมีสิทธิทางกฎหมาย และ “ฟ้องขออำนาจปกครองบุตรและค่าเลี้ยงดูบุตร”
  • เรื่องทรัพย์สิน: ทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกันจะถือเป็น “กรรมสิทธิ์รวม” ต้องฟ้อง “ขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวม” ซึ่งมีรายละเอียดแตกต่างจากการแบ่งสินสมรส

H2: บทสรุปและการเตรียมตัว

การฟ้องหย่าเป็นกระบวนการที่ใช้ทั้งพลังงาน เวลา และส่งผลกระทบต่อจิตใจอย่างมาก การตัดสินใจดำเนินการใดๆ ควรผ่านการไตร่ตรองอย่างรอบคอบที่สุด

การเตรียมตัวที่ดีที่สุดคือการ “รู้สิทธิ” ของตนเอง การรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดตั้งแต่เนิ่นๆ และการวางแผนทางการเงินสำหรับอนาคต คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้คุณผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้

การเดินทางบนเส้นทางสายนี้อาจเต็มไปด้วยอุปสรรค การมีที่ปรึกษาทางกฎหมายที่เข้าใจกระบวนการและขั้นตอนต่างๆ จะช่วยให้คุณสามารถดำเนินการได้อย่างถูกต้องและรัดกุม เพื่อปกป้องสิทธิอันพึงมีพึงได้ของคุณและบุตร

ข้อสงวนสิทธิ์: บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ข้อมูลและความรู้ทั่วไปทางกฎหมายเท่านั้น ไม่ถือเป็นการให้คำปรึกษาทางกฎหมายเป็นการเฉพาะเจาะจง ข้อเท็จจริงในแต่ละคดีย่อมมีความแตกต่างกัน


ติดต่อเพื่อประเมินสถานการณ์และรับคำแนะนำเบื้องต้น

หากคุณกำลังเผชิญกับสถานการณ์การหย่าร้างที่ซับซ้อน และต้องการแนวทางในการดำเนินการ หรือต้องการประเมินสถานการณ์ทางกฎหมายของคุณ

สามารถติดต่อทนายวิรัชได้ที่ สายด่วน โทร 0812585681 หรือ add line @732hjgrx

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *