การตัดสินใจยุติความสัมพันธ์ในชีวิตสมรสเป็นหนึ่งในการตัดสินใจที่หนักหน่วงและซับซ้อนที่สุดในชีวิต เมื่อการเดินทางร่วมกันมาถึงจุดที่ไม่อาจไปต่อได้ และการพูดคุยเพื่อ “หย่าโดยความยินยอม” ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ “การฟ้องหย่า” หรือการหย่าโดยคำพิพากษาของศาล จึงกลายเป็นทางเลือกที่จำเป็นตามกฎหมาย
บทความนี้ไม่ได้มีเจตนาส่งเสริมการสิ้นสุดของสถาบันครอบครัว แต่ถูกเขียนขึ้นเพื่อเป็น “คู่มือ” ให้ความรู้และสร้างความเข้าใจ สำหรับผู้ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ การมีความรู้ความเข้าใจในสิทธิ หน้าที่ และขั้นตอนต่างๆ ที่ถูกต้อง จะช่วยให้คุณสามารถวางแผนและเตรียมตัวรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้อย่างรอบคอบที่สุด
ทำความเข้าใจ: “หย่าโดยความยินยอม” กับ “การฟ้องหย่า” ต่างกันอย่างไร?
ในกฎหมายไทย การหย่ามี 2 รูปแบบหลัก:
- การหย่าโดยความยินยอม (การหย่าที่อำเภอ): เป็นวิธีที่ง่าย รวดเร็ว และประหยัดที่สุด ทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้ในทุกเรื่อง (เช่น สินสมรส, หนี้สิน, การปกครองบุตร) และจูงมือกันไปจดทะเบียนหย่าที่สำนักงานเขตหรือที่ว่าการอำเภอ
- การฟ้องหย่า (การหย่าโดยคำพิพากษา): เป็นกระบวนการที่ต้องใช้ศาล เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ยินยอมหย่า หรือตกลงกันในประเด็นสำคัญ (เช่น สินสมรส, ค่าเลี้ยงดู, อำนาจปกครองบุตร) ไม่ได้ หรืออีกฝ่ายไม่สามารถติดต่อได้
บทความนี้จะมุ่งเน้นไปที่ “การฟ้องหย่า” ซึ่งเป็นกระบวนการทางศาลที่มีรายละเอียดและขั้นตอนที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
H2: หัวใจสำคัญของการฟ้องหย่า: “เหตุแห่งการฟ้องหย่า” (Grounds for Divorce)
คุณไม่สามารถเดินเข้าไปในศาลและบอกว่า “อยากหย่า” โดยไม่มีเหตุผลที่กฎหมายรองรับได้ การฟ้องหย่าจะต้องมี “เหตุ” ตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 ได้บัญญัติไว้ ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ (โปรดทราบว่านี่คือเหตุผลหลักๆ ที่พบบ่อย):
1. สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี (การมีชู้)
นี่คือเหตุผลคลาสสิกและชัดเจนที่สุด
- สำหรับฝ่ายสามี: หากภริยามีชู้ (ร่วมประเวณีกับชายอื่น) ฝ่ายสามีสามารถฟ้องหย่าได้
- สำหรับฝ่ายภริยา: หากสามีไปอุปการะเลี้ยงดู หรือยกย่องผู้หญิงอื่นเสมือนเป็นภริยา (ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ถึงขั้นการร่วมประเวณี แต่ต้องแสดงให้เห็นถึงการแสดงออกต่อสังคมว่าอยู่กินกันฉันสามีภริยา) ฝ่ายภริยาก็สามารถฟ้องหย่าได้
- การฟ้องเรียกค่าทดแทน: นอกจากฟ้องหย่าแล้ว ฝ่ายที่ถูกนอกใจยังมีสิทธิฟ้องเรียก “ค่าทดแทน” จากคู่สมรสของตน และจาก “ชู้” หรือ “หญิงอื่นที่แสดงตนโดยเปิดเผย” นั้นได้ด้วย
2. สามีหรือภริยาประพฤติชั่ว
คำว่า “ประพฤติชั่ว” นั้นกว้าง แต่ในทางกฎหมายมักหมายถึง การกระทำที่ร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นความผิดอาญาหรือไม่ก็ตาม ที่ทำให้อีกฝ่ายหนึ่ง:
- ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง
- ได้รับความดูถูกเกลียดชัง
- ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินควร
- ตัวอย่าง: การติดสุรายาเมาอย่างหนัก, การเล่นการพนันเป็นอาจิณ, การลักขโมย, การฉ้อโกง จนส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงและฐานะของครอบครัว
3. สามีหรือภริยาทำร้าย หรือ ทรมานร่างกายหรือจิตใจ
การกระทำนี้รวมถึง:
- การทำร้ายร่างกาย: ไม่จำเป็นต้องถึงขั้นบาดเจ็บสาหัส แม้เป็นการตบตีเพียงเล็กน้อยแต่ทำบ่อยครั้งก็เข้าข่าย
- การทรมานจิตใจ: การด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคาย การข่มขู่ การดูหมิ่นเหยียดหยามอย่างร้ายแรงและต่อเนื่อง
- การหมิ่นประมาทบุพการี: การด่าทอหรือหมิ่นประมาทพ่อแม่ของอีกฝ่าย ก็ถือเป็นเหตุฟ้องหย่าได้เช่นกัน
4. สามีหรือภริยาจงใจละทิ้งร้างอีกฝ่ายหนึ่งไปเกิน 1 ปี
นี่คือเหตุผลคลาสสิกอีกข้อหนึ่ง
- องค์ประกอบ: ต้องเป็นการ “จงใจ” ที่จะไป และ “ทอดทิ้ง” โดยไม่ติดต่อกลับมา ไม่ส่งข่าวคราว ไม่ให้การอุปการะเลี้ยงดู เป็นเวลาติดต่อกันเกิน 1 ปี
- กรณีไม่เข้าข่าย: หากการแยกกันอยู่เกิดจากการตกลงกัน (เช่น ไปทำงานต่างจังหวัดและยังส่งเงินให้) หรืออีกฝ่ายเป็นคนไล่ออกจากบ้าน กรณีนี้อาจไม่นับว่าเป็นการจงใจทอดทิ้ง
5. สามีหรือภริยาต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก
หากคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกจำคุกเกิน 1 ปี ในความผิดที่อีกฝ่ายไม่ได้มีส่วนร่วม และการอยู่กินด้วยกันต่อไปจะทำให้อีกฝ่ายได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินควร ก็สามารถใช้เป็นเหตุฟ้องหย่าได้
6. สามีและภริยาสมัครใจแยกกันอยู่
หากทั้งคู่ “ตกลง” ที่จะแยกกันอยู่ เพราะไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุข และได้แยกกันอยู่เช่นนั้น “เกิน 3 ปี” ก็สามารถใช้เป็นเหตุฟ้องหย่าได้
7. เหตุอื่นๆ ตามกฎหมาย
นอกจากนี้ยังมีเหตุอื่นๆ เช่น การไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูตามสมควร, การเป็นคนวิกลจริตเกิน 3 ปี, การผิดทัณฑ์บนที่ทำไว้เป็นหนังสือเรื่องความประพฤติ, การเป็นโรคติดต่ออย่างร้ายแรงที่อาจเป็นภัยแก่อีกฝ่าย, หรือการมีสภาพร่างกายที่ไม่อาจร่วมประเวณีได้ถาวร
สิ่งสำคัญ: การฟ้องหย่าในเหตุใดเหตุหนึ่ง ต้องมี “พยานหลักฐาน” ที่ชัดเจน ศาลจะไม่รับฟังเพียงคำกล่าวอ้างลอยๆ
H2: กระบวนการและขั้นตอนการฟ้องหย่าในชั้นศาล (The Divorce Process)
เมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะต้องดำเนินการฟ้องหย่า กระบวนการในศาลยุติธรรม (ศาลเยาวชนและครอบครัว) จะมีขั้นตอนหลักๆ ดังนี้:
ขั้นตอนที่ 1: การเตรียมคดีและร่างคำฟ้อง
นี่คือขั้นตอนที่สำคัญที่สุด
- การรวบรวมหลักฐาน: ต้องรวบรวมหลักฐานที่สนับสนุน “เหตุแห่งการฟ้องหย่า” ที่คุณกล่าวอ้าง เช่น
- (กรณีมีชู้) รูปถ่าย, คลิปวิดีโอ, ข้อความแชท, หลักฐานการโอนเงิน, พยานบุคคล
- (กรณีทำร้ายร่างกาย) ใบรับรองแพทย์, รูปถ่ายบาดแผล, บันทึกประจำวันจากตำรวจ
- (กรณีทอดทิ้ง) พยานหลักฐานที่แสดงว่าไม่ได้ติดต่อกัน, หลักฐานการย้ายที่อยู่
- การรวบรวมเอกสาร: ทะเบียนสมรส, สูติบัตรบุตร, ทะเบียนบ้าน, บัตรประชาชน, เอกสารเกี่ยวกับทรัพย์สิน (โฉนดที่ดิน, ทะเบียนรถ, บัญชีธนาคาร), เอกสารหนี้สิน
- การร่างคำฟ้อง: ทนายความจะนำข้อมูลและหลักฐานทั้งหมดมาเรียบเรียงเป็น “คำฟ้อง” โดยระบุเหตุแห่งการฟ้องหย่า และคำขอท้ายฟ้องว่าต้องการให้ศาลมีคำพิพากษาในเรื่องใดบ้าง (เช่น ขอหย่า, ขออำนาจปกครองบุตร, ขอแบ่งสินสมรส, ขอค่าเลี้ยงดู)
ขั้นตอนที่ 2: การยื่นฟ้องต่อศาล
ทนายความจะยื่นคำฟ้องต่อศาลเยาวชนและครอบครัวที่มีเขตอำนาจ (เช่น ศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ หรือศาลที่มูลคดีเกิดขึ้น) เมื่อศาลรับฟ้องแล้ว ศาลจะกำหนดวันนัดและส่ง “หมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง” ไปให้จำเลย (คู่สมรสอีกฝ่าย)
ขั้นตอนที่ 3: การยื่นคำให้การ (โดยฝ่ายจำเลย)
เมื่อจำเลยได้รับหมายเรียกแล้ว จะต้องยื่น “คำให้การ” ต่อสู้คดีภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด (ปกติคือ 15 วัน) หากจำเลยไม่ยื่นคำให้การ ศาลอาจพิจารณาคดีไปฝ่ายเดียว (ขาดนัดยื่นคำให้การ)
ขั้นตอนที่ 4: วันนัดไกล่เกลี่ย (Mediation Day)
คดีครอบครัวเป็นคดีที่ละเอียดอ่อน กฎหมายจึงกำหนดให้ต้องมีการ “ไกล่เกลี่ย” ก่อนเสมอ
- ศาลจะตั้งผู้ประนีประนอม (ผู้พิพากษาสมทบหรือเจ้าหน้าที่) มาช่วยพูดคุยเจรจากับทั้งสองฝ่าย
- เป้าหมาย: เพื่อหาข้อตกลงร่วมกันโดยไม่ต้องสืบพยาน หากตกลงกันได้ทุกประเด็น (เช่น ยอมหย่า, ตกลงเรื่องทรัพย์สินและบุตรได้) ศาลก็จะทำ “สัญญาประนีประนอมยอมความ” และพิพากษาตามยอม คดีก็จะจบลงในวันนั้น
- นี่คือกระบวนการที่ลดความขัดแย้งได้ดีที่สุด
ขั้นตอนที่ 5: การสืบพยาน (Trial)
หากการไกล่เกลี่ยไม่สำเร็จ (เช่น จำเลยไม่ยอมหย่า หรือตกลงเรื่องทรัพย์สิน/บุตรไม่ได้) คดีก็จะเข้าสู่กระบวนการ “สืบพยาน”
- ทั้งฝ่ายโจทก์ (ผู้ฟ้อง) และฝ่ายจำเลย (ผู้ถูกฟ้อง) จะต้องนำพยานหลักฐานที่ตนมีมาเสนอต่อศาล
- ทนายความของแต่ละฝ่ายจะทำการซักถามพยานฝ่ายตนเอง และ “ถามค้าน” พยานของอีกฝ่าย เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงต่อหน้าศาล
ขั้นตอนที่ 6: การทำคำพิพากษา
หลังจากสืบพยานเสร็จสิ้น ศาลจะใช้เวลาพิจารณาพยานหลักฐานทั้งหมด และนัดฟัง “คำพิพากษา” ศาลจะวินิจฉัยว่าเหตุแห่งการฟ้องหย่ามีอยู่จริงหรือไม่ และจะตัดสินในประเด็นที่ขัดแย้งกัน (เช่น ให้หย่าหรือไม่, ใครได้อำนาจปกครองบุตร, แบ่งสินสมรสอย่างไร)
ขั้นตอนที่ 7: การจดทะเบียนหย่า
หลังจากศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด (ไม่มีการอุทธรณ์ฎีกาต่อ) ให้นำคำพิพากษาและหนังสือรับรองคดีถึงที่สุด ไปยื่นจดทะเบียนหย่าที่สำนักงานเขตหรือที่ว่าการอำเภอ การหย่าจึงจะมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย
H2: 3 ประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาในการฟ้องหย่า
นอกจากการหย่าขาดจากกันแล้ว การฟ้องหย่ามักมี 3 ประเด็นหลักที่ต้องต่อสู้และตกลงกัน ซึ่งมีความซับซ้อนอย่างมาก:
1. การแบ่งสินสมรส (Division of Marital Assets)
นี่คือข้อพิพาทที่พบบ่อยที่สุด
- สินส่วนตัว: คือทรัพย์สินที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีมาก่อนสมรส, ได้รับมาโดยมรดก, หรือโดยการให้โดยเสน่หา (เช่น พ่อแม่ยกที่ดินให้) หรือของหมั้น สินส่วนตัวนี้ ไม่ต้องแบ่ง
- สินสมรส: คือทรัพย์สินที่ “ทำมาหาได้ร่วมกัน” ในระหว่างสมรส หรือได้มาระหว่างสมรส (แม้ว่าจะเป็นชื่อของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ตาม) เช่น
- เงินเดือน โบนัส
- บ้าน รถ ที่ดิน ที่ซื้อระหว่างสมรส
- ดอกผลของสินส่วนตัว (เช่น ค่าเช่าบ้านที่ได้มาก่อนสมรส)
- หลักการแบ่ง: ตามกฎหมาย สินสมรสจะถูกแบ่ง “คนละครึ่ง” (50/50)
- หนี้สิน: หนี้ที่ก่อขึ้นร่วมกันเพื่อครอบครัว (เช่น กู้ซื้อบ้านร่วมกัน) ก็ถือเป็น “หนี้ร่วม” ที่ต้องรับผิดชอบร่วมกันด้วย
2. อำนาจปกครองบุตร (Child Custody)
หากมีบุตรผู้เยาว์ (อายุไม่ถึง 20 ปีบริบูรณ์) นี่คือประเด็นที่ละเอียดอ่อนที่สุด
- ระหว่างสมรส: พ่อและแม่มีอำนาจปกครองบุตรร่วมกัน
- หลังการหย่า: ต้องมีการกำหนดว่าใครจะเป็นผู้มี “อำนาจปกครองบุตร” (Sole Custody) หรือจะยังคงมี “อำนาจปกครองบุตรร่วมกัน” (Joint Custody)
- การพิจารณาของศาล: ศาลไม่ได้ตัดสินจาก “ความต้องการ” ของพ่อแม่เป็นหลัก แต่ศาลจะพิจารณาจาก “ประโยชน์สูงสุดของบุตร” (The Best Interest of the Child) เป็นสำคัญ โดยดูจาก:
- ความสามารถในการเลี้ยงดู (ฐานะการเงิน, เวลา, สุขภาพ)
- สภาพแวดล้อมและที่อยู่อาศัย
- ความผูกพันของบุตรกับแต่ละฝ่าย
- หากบุตรโตพอที่จะแสดงความคิดเห็นได้ ศาลอาจรับฟังความต้องการของบุตรด้วย
3. ค่าอุปการะเลี้ยงดู (Support Payments)
การหย่าไม่ได้หมายความว่าภาระหน้าที่ต่อบุตรจะสิ้นสุดลง
- ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร (Child Support): ฝ่ายที่ไม่ได้เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตร (หรือแม้จะปกครองร่วม แต่รายได้น้อยกว่า) มีหน้าที่ต้องช่วยส่งเสีย “ค่าเลี้ยงดูบุตร” จนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะ (อายุ 20 ปี)
- การคำนวณ: ศาลจะพิจารณาจาก “ความจำเป็นของบุตร” (ค่าเทอม, ค่ากินอยู่, ค่ารักษาพยาบาล) และ “ความสามารถในการจ่าย” ของผู้ปกครองทั้งสองฝ่าย
- ค่าเลี้ยงดูคู่สมรส (Alimony): ในบางกรณี หากการหย่าทำให้อีกฝ่ายหนึ่ง “ยากจนลง” เพราะไม่มีรายได้ (เช่น เป็นแม่บ้านมาตลอด) และเหตุแห่งการหย่าไม่ได้เกิดจากความผิดของฝ่ายนั้น ศาลอาจสั่งให้คู่สมรสอีกฝ่ายจ่าย “ค่าเลี้ยงดู” (หรือค่าทดแทน) ให้เป็นรายเดือนหรือเป็นก้อนก็ได้
H2: คำถามที่พบบ่อย (FAQ) ในการดำเนินการฟ้องหย่า
Q1: ถ้าไม่มีเงินจ้างทนายความ จะฟ้องหย่าได้หรือไม่? A: คดีฟ้องหย่ามีความซับซ้อนทางกฎหมายสูง การมีทนายความเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม หากคุณมีรายได้น้อยและไม่ได้รับความเป็นธรรม คุณสามารถติดต่อ “สภาทนายความ” หรือ “สำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิ” เพื่อขอความช่วยเหลือด้านทนายความอาสาได้
Q2: การฟ้องหย่าใช้เวลานานแค่ไหน? A: ไม่สามารถระบุเวลาที่แน่นอนได้
- หากไกล่เกลี่ยสำเร็จ: อาจจบได้ภายใน 1-2 วันนัด (ประมาณ 2-4 เดือน)
- หากต้องสืบพยาน: อาจใช้เวลา 6 เดือน ถึง 1 ปี หรือนานกว่านั้นในชั้นศาลต้น ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของคดีและจำนวนพยาน
Q3: ถ้าอีกฝ่ายไม่มาศาลในวันนัดเลย จะเกิดอะไรขึ้น? A: หากศาลส่งหมายเรียกโดยชอบแล้ว และจำเลยจงใจไม่มาศาลหรือไม่ยื่นคำให้การ ศาลสามารถพิจารณาคดีไปฝ่ายเดียวได้ เรียกว่า “การพิจารณาคดีโดยขาดนัด” ศาลจะฟังพยานหลักฐานของฝ่ายโจทก์และพิพากษาไปตามสมควร
Q4: ฟ้องชู้ (เรียกค่าทดแทน) ต้องทำอย่างไร? A: คุณสามารถฟ้องชู้ (หรือหญิงอื่นที่แสดงตนโดยเปิดเผย) เข้ามาในคดีฟ้องหย่าได้เลย หรือจะฟ้องเป็นคดีแยกต่างหากก็ได้ โดยต้องมีหลักฐานที่ชัดเจนว่าบุคคลนั้นมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับคู่สมรสของคุณ
Q5: ไม่ได้จดทะเบียนสมรส แต่อยู่กินด้วยกันและมีลูก ต้องฟ้องหย่าหรือไม่? A: ไม่ต้องฟ้องหย่า เพราะไม่มีนิติสัมพันธ์ในฐานะสามีภริยาตามกฎหมาย แต่หากมีปัญหากันในเรื่อง “บุตร” หรือ “ทรัพย์สิน” จะต้องดำเนินการทางศาลในเรื่องอื่นแทน:
- เรื่องบุตร: ต้องมีการ “ฟ้องขอรับรองบุตร” เพื่อให้บุตรมีสิทธิทางกฎหมาย และ “ฟ้องขออำนาจปกครองบุตรและค่าเลี้ยงดูบุตร”
- เรื่องทรัพย์สิน: ทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกันจะถือเป็น “กรรมสิทธิ์รวม” ต้องฟ้อง “ขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวม” ซึ่งมีรายละเอียดแตกต่างจากการแบ่งสินสมรส
H2: บทสรุปและการเตรียมตัว
การฟ้องหย่าเป็นกระบวนการที่ใช้ทั้งพลังงาน เวลา และส่งผลกระทบต่อจิตใจอย่างมาก การตัดสินใจดำเนินการใดๆ ควรผ่านการไตร่ตรองอย่างรอบคอบที่สุด
การเตรียมตัวที่ดีที่สุดคือการ “รู้สิทธิ” ของตนเอง การรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดตั้งแต่เนิ่นๆ และการวางแผนทางการเงินสำหรับอนาคต คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้คุณผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้
การเดินทางบนเส้นทางสายนี้อาจเต็มไปด้วยอุปสรรค การมีที่ปรึกษาทางกฎหมายที่เข้าใจกระบวนการและขั้นตอนต่างๆ จะช่วยให้คุณสามารถดำเนินการได้อย่างถูกต้องและรัดกุม เพื่อปกป้องสิทธิอันพึงมีพึงได้ของคุณและบุตร
ข้อสงวนสิทธิ์: บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ข้อมูลและความรู้ทั่วไปทางกฎหมายเท่านั้น ไม่ถือเป็นการให้คำปรึกษาทางกฎหมายเป็นการเฉพาะเจาะจง ข้อเท็จจริงในแต่ละคดีย่อมมีความแตกต่างกัน
ติดต่อเพื่อประเมินสถานการณ์และรับคำแนะนำเบื้องต้น
หากคุณกำลังเผชิญกับสถานการณ์การหย่าร้างที่ซับซ้อน และต้องการแนวทางในการดำเนินการ หรือต้องการประเมินสถานการณ์ทางกฎหมายของคุณ
สามารถติดต่อทนายวิรัชได้ที่ สายด่วน โทร 0812585681 หรือ add line @732hjgrx
