การเริ่มต้นและบริหารธุรกิจในยุคปัจจุบันเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่ความท้าทายที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งซึ่งมักถูกมองข้ามในช่วงเริ่มต้น คือ “กฎหมายธุรกิจ” ผู้ประกอบการหลายท่านอาจมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การตลาด และการขาย จนลืมไปว่ากฎหมายคือรากฐานที่ค้ำจุนให้ธุรกิจของคุณสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
กฎหมายธุรกิจ (Business Law) ไม่ใช่เรื่องไกลตัว ไม่ใช่แค่เอกสารที่ซับซ้อน หรือข้อบังคับที่ยุ่งยาก แต่เป็น “เกราะป้องกัน” ที่ช่วยปกป้องสิทธิ์, ทรัพย์สิน, และชื่อเสียงของท่าน ช่วยลดความเสี่ยงจากข้อพิพาทที่ไม่คาดฝัน และสร้างความน่าเชื่อถือในสายตาของคู่ค้า ลูกค้า และนักลงทุน
บทความนี้ถูกเขียนขึ้นเพื่อเป็นคู่มือและให้แนวทางสำหรับผู้ประกอบการ, เจ้าของธุรกิจ, หรือผู้ที่กำลังวางแผนจะเริ่มต้นกิจการ ให้มีความเข้าใจในประเด็นทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ตั้งแต่ก้าวแรกของการก่อตั้ง ไปจนถึงการบริหารจัดการในแต่ละวัน เราจะสำรวจแง่มุมต่างๆ ของกฎหมายธุรกิจ เพื่อให้ท่านสามารถนำไปปรับใช้และวางแผนการดำเนินงานได้อย่างรัดกุม
ส่วนที่ 1: ก้าวแรกอย่างมั่นคง – การเลือกโครงสร้างและการจดทะเบียนธุรกิจ
การตัดสินใจครั้งแรกๆ ที่มีผลกระทบทางกฎหมายระยะยาว คือการเลือก “รูปแบบ” หรือ “โครงสร้าง” ของธุรกิจ ซึ่งแต่ละรูปแบบก็มีข้อดี, ข้อจำกัด, และภาระหน้าที่ทางกฎหมายที่แตกต่างกัน
1. ธุรกิจเจ้าของคนเดียว (Sole Proprietorship)
นี่คือรูปแบบที่ง่ายที่สุดในการเริ่มต้น เจ้าของคนเดียวมีสิทธิ์ในการตัดสินใจทั้งหมดและได้รับผลกำไรทั้งหมด แต่ข้อควรพิจารณาที่สำคัญคือ เจ้าของต้องรับผิดในหนี้สินของธุรกิจทั้งหมดแบบไม่จำกัดจำนวน (Unlimited Liability) หมายความว่า หากธุรกิจมีหนี้สิน เจ้าหนี้สามารถยึดทรัพย์สินส่วนตัวของเจ้าของได้
- การจดทะเบียน: ต้องจดทะเบียนพาณิชย์ (หากเข้าข่ายตามที่กฎหมายกำหนด) ณ สำนักงานเขตหรือที่ว่าการอำเภอ
2. ห้างหุ้นส่วน (Partnership)
เป็นการตกลงกันระหว่างบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อทำธุรกิจร่วมกัน โดยแบ่งเป็น:
- ห้างหุ้นส่วนสามัญ (Ordinary Partnership): ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนรับผิดร่วมกันในหนี้สินทั้งหมดของห้างฯ โดยไม่จำกัดจำนวน สามารถจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล (ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล) หรือไม่ก็ได้
- ห้างหุ้นส่วนจำกัด (Limited Partnership): ประกอบด้วยหุ้นส่วน 2 ประเภท คือ (1) หุ้นส่วนที่จำกัดความรับผิด (รับผิดไม่เกินจำนวนเงินที่ตนลงทุน) และ (2) หุ้นส่วนที่ไม่จำกัดความรับผิด (รับผิดในหนี้สินทั้งหมด) ห้างหุ้นส่วนประเภทนี้ต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลเสมอ
3. บริษัทจำกัด (Limited Company)
เป็นรูปแบบที่ได้รับความนิยมสูงสุดสำหรับธุรกิจขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ เนื่องจากมีสถานะเป็น “นิติบุคคล” แยกต่างหากจากตัวผู้ถือหุ้น
- ความรับผิด: ผู้ถือหุ้นรับผิดจำกัดเพียงมูลค่าหุ้นที่ตนยังชำระไม่ครบถ้วน ทรัพย์สินส่วนตัวของผู้ถือหุ้นจึงปลอดภัยจากหนี้สินของบริษัท
- โครงสร้าง: ต้องมีผู้เริ่มก่อการ (อย่างน้อย 2 คนในปัจจุบัน) และผู้ถือหุ้น
- การบริหาร: บริหารงานโดย “คณะกรรมการ” ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น
- ความน่าเชื่อถือ: การเป็นบริษัทจำกัดมักสร้างความน่าเชื่อถือให้กับคู่ค้าและสถาบันการเงินมากกว่า
กระบวนการจดทะเบียนธุรกิจ (นิติบุคคล)
การจดทะเบียนจัดตั้งห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทจำกัด ปัจจุบันต้องดำเนินการผ่าน กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งสามารถดำเนินการได้ทั้งแบบ Walk-in หรือผ่านระบบออนไลน์ (e-Registration) ซึ่งมีความสะดวกรวดเร็วมากขึ้น เอกสารสำคัญที่ต้องจัดเตรียม เช่น หนังสือบริคณห์สนธิ, ข้อบังคับของบริษัท (ถ้ามี), รายชื่อผู้ถือหุ้น, และรายละเอียดสำนักงานที่ตั้ง
ส่วนที่ 2: หัวใจของการค้า – สัญญาและข้อตกลงทางธุรกิจ
เมื่อธุรกิจเริ่มดำเนินการ “สัญญา” (Contracts) คือเครื่องมือทางกฎหมายที่สำคัญที่สุดในการสร้างนิติสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า, ซัพพลายเออร์, ลูกจ้าง หรือคู่ค้า สัญญาที่รัดกุมคือหลักประกันว่าทุกฝ่ายเข้าใจสิทธิและหน้าที่ของตนอย่างชัดเจน
ทำไมสัญญาที่ทำเป็นลายลักษณ์อักษรจึงสำคัญ?
หลายธุรกิจมักดำเนินงานด้วย “สัญญาใจ” หรือข้อตกลงปากเปล่า ซึ่งอาจไม่เพียงพอเมื่อเกิดปัญหา ข้อดีของสัญญาที่เป็นลายลักษณ์อักษร คือ:
- ความชัดเจน: ระบุรายละเอียดข้อตกลง, ขอบเขตงาน, ค่าตอบแทน, และกำหนดเวลา อย่างชัดเจน
- หลักฐาน: เป็นหลักฐานชั้นดีในกระบวนการทางศาล หากเกิดข้อพิพาท
- การบังคับใช้: สัญญ บางประเภท กฎหมายบังคับให้ต้องทำเป็นหนังสือ มิฉะนั้นจะเป็นโมฆะ หรือไม่สามารถฟ้องร้องบังคับคดีได้ (เช่น สัญญาเช่าซื้อ, สัญญากู้ยืมเงินเกิน 2,000 บาท)
สัญญาสำคัญที่ธุรกิจมักพบบ่อย
- สัญญาจ้างแรงงาน (Employment Agreement): ระบุเงื่อนไขการทำงาน, อัตราค่าจ้าง, หน้าที่ความรับผิดชอบ, และสวัสดิการ (จะกล่าวละเอียดในส่วนถัดไป)
- สัญญาบริการ / สัญญาจ้างทำของ (Service Agreement / Hire of Work): ใช้เมื่อจ้างบุคคลภายนอก (Freelance หรือบริษัทอื่น) ทำงานให้ เช่น งานที่ปรึกษา, งานออกแบบ, หรืองานก่อสร้าง
- สัญญาซื้อขาย (Sale and Purchase Agreement): ใช้ในการซื้อขายสินค้าหรือทรัพย์สิน ควรกำหนดรายละเอียดสินค้า, ราคา, วิธีการชำระเงิน, การส่งมอบ, และการรับประกันสินค้า
- สัญญาเช่า (Lease Agreement): โดยเฉพาะการเช่าสถานที่เพื่อทำสำนักงานหรือหน้าร้าน ต้องระบุอัตราค่าเช่า, ระยะเวลา, และเงื่อนไขการใช้สถานที่ให้ชัดเจน
- สัญญาไม่เปิดเผยข้อมูล (Non-Disclosure Agreement – NDA): สำคัญมากเมื่อต้องเจรจากับคู่ค้าหรือนักลงทุน เพื่อป้องกันความลับทางการค้าของท่านรั่วไหล
เมื่อสัญญาไม่เป็นสัญญา: การผิดสัญญา (Breach of Contract)
เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงในสัญญา อีกฝ่ายย่อมมีสิทธิ์ดำเนินการตามกฎหมาย เช่น เรียกร้องให้ปฏิบัติตามสัญญา, เรียกค่าเสียหาย, หรือบอกเลิกสัญญา การมีสัญญาที่เขียนไว้อย่างดีจะช่วยให้กระบวนการนี้ง่ายขึ้นมาก
ส่วนที่ 3: การบริหารบุคลากร – สิ่งที่ต้องรู้เกี่ยวกับกฎหมายแรงงาน
“คน” คือทรัพยากรที่สำคัญที่สุดของธุรกิจ การบริหารบุคลากรจึงต้องเป็นไปตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีและหลีกเลี่ยงข้อพิพาทกับลูกจ้าง
ประเด็นสำคัญด้านกฎหมายแรงงาน
- สัญญาจ้าง: ควรทำเป็นลายลักษณ์อักษรเสมอ แม้กฎหมายไม่ได้บังคับในทุกกรณี แต่การมีสัญญาจ้างจะช่วยระบุขอบเขตงาน, ค่าจ้าง, และเงื่อนไขต่างๆ ได้ชัดเจน
- เวลาทำงานและค่าตอบแทน: กฎหมายกำหนดเวลาทำงานปกติ, การทำงานล่วงเวลา (OT), และอัตราค่าตอบแทนสำหรับการทำงานล่วงเวลาหรือการทำงานในวันหยุด
- วันหยุดและวันลา: ลูกจ้างมีสิทธิ์ในวันหยุดประจำสัปดาห์, วันหยุดตามประเพณี, วันหยุดพักผ่อนประจำปี (ลาพักร้อน), รวมถึงสิทธิ์ในการลาป่วย, ลากิจ, หรือลาคลอด
- กองทุนประกันสังคม (Social Security Fund): นายจ้างมีหน้าที่ขึ้นทะเบียนนายจ้างและนำส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมให้กับลูกจ้างที่มีคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนด
- การเลิกจ้าง (Termination):
- การเลิกจ้างโดยมีเหตุ: หากลูกจ้างกระทำความผิดร้ายแรงตามที่กฎหมายหรือข้อบังคับการทำงานกำหนด นายจ้างสามารถเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
- การเลิกจ้างโดยไม่มีเหตุ (เลิกจ้างทั่วไป): นายจ้างต้องบอกกล่าวล่วงหน้า และต้องจ่าย “ค่าชดเชย” ตามอายุงานของลูกจ้าง
ข้อพิพาทด้านแรงงานมักมีความละเอียดอ่อน การวางระบบการบริหารบุคคลและเอกสารที่สอดคล้องกับกฎหมายตั้งแต่ต้น จะช่วยลดความเสี่ยงในอนาคตได้อย่างมาก
ส่วนที่ 4: สินทรัพย์ที่มองไม่เห็น – การปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา (IP)
ในโลกธุรกิจยุคใหม่ มูลค่าของธุรกิจไม่ได้อยู่ที่สินทรัพย์ที่จับต้องได้ (เช่น อาคาร, เครื่องจักร) เท่านั้น แต่ยังรวมถึง “ทรัพย์สินทางปัญญา” (Intellectual Property – IP) ซึ่งคือผลงานที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์
ประเภทของทรัพย์สินทางปัญญาที่ธุรกิจควรรู้
- เครื่องหมายการค้า (Trademark):
- คืออะไร: โลโก้, ชื่อแบรนด์, สโลแกน ที่ใช้แยกแยะสินค้าหรือบริการของคุณออกจากคู่แข่ง
- ทำไมต้องจด: การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ากับกรมทรัพย์สินทางปัญญา จะทำให้ท่านมีสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในการใช้เครื่องหมายนั้นกับสินค้าที่ระบุ ป้องกันคนอื่นมาลอกเลียนแบบ หรือสร้างความสับสน
- ลิขสิทธิ์ (Copyright):
- คืออะไร: งานสร้างสรรค์ เช่น บทความ, รูปภาพ, เพลง, วิดีโอ, หรือโค้ดซอฟต์แวร์
- การคุ้มครอง: ลิขสิทธิ์เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติทันทีที่สร้างสรรค์ผลงาน (ไม่ต้องจดทะเบียน) แต่การ “จดแจ้ง” ไว้กับกรมทรัพย์สินทางปัญญา จะช่วยเป็นหลักฐานยืนยันความเป็นเจ้าของหากมีข้อพิพาท
- สิทธิบัตร (Patent):
- คืออะไร: การคุ้มครอง “สิ่งประดิษฐ์” (Invention) ที่มีลักษณะใหม่, มีขั้นการประดิษฐ์ที่สูงขึ้น หรือ “การออกแบบผลิตภัณฑ์” (Design Patent)
- การคุ้มครอง: ต้องยื่นจดทะเบียนเท่านั้นจึงจะได้รับความคุ้มครอง
การละเลยการปกป้อง IP อาจหมายถึงการสูญเสียความได้เปรียบในการแข่งขัน หรือร้ายแรงที่สุดคือการถูกคู่แข่งนำแบรนด์หรือนวัตกรรมของคุณไปใช้
ส่วนที่ 5: หน้าที่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ – ความเข้าใจเบื้องต้นเรื่องภาษีธุรกิจ
การดำเนินธุรกิจย่อมมีหน้าที่ในการเสียภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร การวางแผนภาษีที่ดีและการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้อง จะช่วยให้ธุรกิจไม่ประสบปัญหาย้อนหลังกับกรมสรรพากร
ภาษีหลักที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ
- ภาษีเงินได้นิติบุคคล (Corporate Income Tax):
- สำหรับธุรกิจที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล (บริษัท, ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล)
- คำนวณจาก “กำไรสุทธิ” ทางบัญชีที่ปรับปรุงตามเงื่อนไขทางภาษี
- ต้องมีการจัดทำบัญชีและตรวจสอบบัญชีโดยผู้สอบบัญชีรับอนุญาต
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax – VAT):
- หากธุรกิจมีรายได้จากการขายสินค้าหรือให้บริการเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี มีหน้าที่ต้องจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการ VAT
- ต้องเรียกเก็บ VAT 7% จากลูกค้า (ภาษีขาย) และนำส่งกรมสรรพากร โดยสามารถหักด้วย VAT ที่จ่ายให้ซัพพลายเออร์ (ภาษีซื้อ)
- ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (Withholding Tax):
- เมื่อธุรกิจจ่ายเงินค่าบริการ, ค่าเช่า, หรือค่าจ้างบางประเภท กฎหมายกำหนดให้ผู้จ่าย (ธุรกิจของคุณ) ต้อง “หัก” ภาษีบางส่วนไว้ (เช่น 3% สำหรับค่าบริการ) และนำส่งให้กรมสรรพากรก่อน แล้วจึงจ่ายส่วนที่เหลือให้ผู้รับเงิน
การไม่ยื่นภาษี หรือยื่นไม่ถูกต้อง อาจนำไปสู่เบี้ยปรับ, เงินเพิ่ม, และอาจเป็นคดีความได้ การจัดทำบัญชีและปรึกษาผู้รู้ด้านบัญชีและภาษีจึงเป็นสิ่งจำเป็น
ส่วนที่ 6: การดำเนินงานภายใต้กรอบกติกา – ใบอนุญาตและ PDPA
นอกเหนือจากกฎหมายหลักๆ ที่กล่าวมา การดำเนินธุรกิจยังต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบเฉพาะทางอีกด้วย
1. ใบอนุญาตประกอบกิจการ (Specific Licenses)
ธุรกิจบางประเภทจำเป็นต้องมีใบอนุญาตเฉพาะทางก่อนจึงจะดำเนินการได้ เช่น:
- ธุรกิจร้านอาหาร (ใบอนุญาตจำหน่ายอาหาร, สะสมอาหาร)
- ธุรกิจจำหน่ายสุรา (ใบอนุญาตขายสุรา)
- ธุรกิจก่อสร้าง
- ธุรกิจนำเข้า-ส่งออก (ใบอนุญาตที่เกี่ยวข้องกับกรมศุลกากร)
การดำเนินกิจการโดยไม่มีใบอนุญาตที่จำเป็น ถือเป็นความผิดทางกฎหมายและอาจถูกสั่งปิดกิจการได้
2. ยุคใหม่ของข้อมูล: PDPA (พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล)
กฎหมายนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในยุคดิจิทัล หากธุรกิจของคุณมีการเก็บรวบรวม, ใช้, หรือเปิดเผย “ข้อมูลส่วนบุคคล” (เช่น ชื่อ, เบอร์โทร, อีเมลของลูกค้า หรือข้อมูลพนักงาน) คุณมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม PDPA
ประเด็นหลักของ PDPA สำหรับธุรกิจ:
- การขอความยินยอม (Consent): ต้องขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลอย่างชัดเจนก่อนนำข้อมูลไปใช้ (เว้นแต่มีฐานกฎหมายอื่นรองรับ)
- การแจ้งนโยบาย (Privacy Policy): ต้องมีนโยบายความเป็นส่วนตัว แจ้งให้เจ้าของข้อมูลทราบว่าจะเก็บอะไร, ใช้อย่างไร, และเก็บนานเท่าใด
- การรักษาความปลอดภัย: ต้องมีมาตรการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่เพียงพอ เพื่อป้องกันข้อมูลรั่วไหล
การไม่ปฏิบัติตาม PDPA มีบทลงโทษที่ค่อนข้างสูง ทั้งทางแพ่ง, อาญา และทางปกครอง
ส่วนที่ 7: เมื่อเส้นทางไม่ราบรื่น – การจัดการข้อพิพาทและการเลิกกิจการ
แม้จะวางแผนมาดีเพียงใด ข้อพิพาททางธุรกิจก็อาจเกิดขึ้นได้ และในบางครั้ง ธุรกิจก็อาจต้องเดินทางมาถึงจุดสิ้นสุด
การจัดการข้อพิพาททางธุรกิจ
เมื่อเกิดข้อขัดแย้งกับคู่ค้า, ลูกค้า หรือแม้แต่หุ้นส่วน การดำเนินการทางศาลควรเป็นทางเลือกท้ายๆ:
- การเจรจา (Negotiation): พยายามพูดคุยเพื่อหาข้อยุติที่เป็นที่พอใจของทั้งสองฝ่าย
- การไกล่เกลี่ย (Mediation): ใช้บุคคลที่สาม (คนกลาง) มาช่วยในการเจรจา
- การอนุญาโตตุลาการ (Arbitration): เป็นกระบวนการระงับข้อพิพาทนอกศาล โดยคู่กรณีตกลงให้มี “อนุญาโตตุลาการ” เป็นผู้ตัดสิน คำชี้ขาดมีผลผูกพันตามกฎหมาย (มักใช้ในสัญญาธุรกิจขนาดใหญ่)
- การดำเนินคดีในศาล (Litigation): หากไม่สามารถตกลงกันได้จริงๆ การฟ้องร้องคดีต่อศาลคือกระบวนการยุติธรรมในการบังคับใช้สิทธิ์
การปิดฉาก: การเลิกกิจการ และ การล้มละลาย
- การเลิกกิจการ (Dissolution): คือกระบวนการ “ปิดบริษัท” โดยสมัครใจ (เช่น ที่ประชุมผู้ถือหุ้นมีมติ) หรือโดยคำสั่งศาล ต้องมีการตั้ง “ผู้ชำระบัญชี” เพื่อรวบรวมทรัพย์สิน, ชำระหนี้สิน, และคืนทุนให้ผู้ถือหุ้น
- การล้มละลาย (Bankruptcy): เกิดขึ้นเมื่อธุรกิจ “มีหนี้สินล้นพ้นตัว” (หนี้มากกว่าทรัพย์สิน) และไม่สามารถชำระหนี้ได้ เจ้าหนี้หรือตัวลูกหนี้เองสามารถยื่นฟ้องต่อศาลล้มละลายกลาง เพื่อให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์และจัดการแบ่งทรัพย์สินชำระหนี้แก่เจ้าหนี้อย่างเป็นธรรม
สรุป: กฎหมายธุรกิจคือรากฐานของความยั่งยืน
กฎหมายธุรกิจอาจดูเหมือนเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและมีรายละเอียดมาก แต่การทำความเข้าใจและปฏิบัติตามกรอบของกฎหมายอย่างถูกต้องตั้งแต่เริ่มต้น คือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับธุรกิจ
การวางโครงสร้างบริษัทที่เหมาะสม, การทำสัญญาที่รัดกุม, การดูแลพนักงานตามกฎหมายแรงงาน, การปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา, และการปฏิบัติตามหน้าที่ทางภาษีและ PDPA ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ภาระ แต่เป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณดำเนินไปได้อย่างราบรื่น ลดความเสี่ยงจากข้อพิพาทที่ไม่จำเป็น และสร้างความยั่งยืนให้กับกิจการในระยะยาว
การมีที่ปรึกษาหรือผู้ที่มีความรู้ด้านกฎหมายคอยให้คำแนะนำในการวางแผนและการตัดสินใจที่สำคัญทางธุรกิจ จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะช่วยสนับสนุนให้ธุรกิจของคุณก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นใจ
[ข้อความสำหรับการติดต่อ]
หากท่านมีข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเด็นกฎหมายธุรกิจ หรือต้องการแนวทางในการจัดการปัญหาที่กำลังเผชิญ เพื่อให้การดำเนินธุรกิจของท่านเป็นไปอย่างถูกต้องและราบรื่น
สามารถติดต่อทนายวิรัชได้ที่ สายด่วน โทร 0812585681 หรือ add line @732hjgrx