บทนำ ทำไมประกันรถถึงสำคัญทางกฎหมาย
ทุกคนที่ใช้รถยนต์ในประเทศไทยควรรู้ว่า ประกันรถยนต์ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของความปลอดภัยทางการเงิน แต่ยังเป็นข้อบังคับตามกฎหมายโดยตรง ภายใต้พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 ซึ่งกำหนดให้เจ้าของรถทุกคันต้องทำประกันภัยภาคบังคับ หรือที่เรียกว่า พ.ร.บ. ก่อนจะสามารถต่อภาษีรถได้
นอกจากภาคบังคับแล้ว เจ้าของรถยังสามารถเลือกทำประกันภัยภาคสมัครใจเพิ่มเติม เพื่อให้ครอบคลุมความเสียหายต่อทรัพย์สิน ชีวิต และความรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอกได้กว้างขึ้น
ประเภทของประกันรถยนต์ในประเทศไทย
1. ประกันภัยภาคบังคับ (พ.ร.บ.)
ประกันภัยภาคบังคับเป็นประกันที่กฎหมายกำหนดให้ต้องมีสำหรับรถยนต์ทุกคัน ไม่ว่าจะเป็นรถส่วนบุคคล รถจักรยานยนต์ หรือรถบรรทุก
ความคุ้มครองหลักของ พ.ร.บ. ได้แก่
- ค่ารักษาพยาบาลสำหรับผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุ
- ค่าชดเชยกรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวร
- เงินช่วยเหลือเบื้องต้นโดยไม่ต้องรอพิสูจน์ความผิด
การต่ออายุ พ.ร.บ. ทุกปีจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพราะหากไม่มี พ.ร.บ. จะไม่สามารถต่อภาษีรถได้ และมีโทษปรับตามกฎหมาย
2. ประกันภัยภาคสมัครใจ
ประกันภัยภาคสมัครใจแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามระดับความคุ้มครอง
ประกันชั้น 1
คุ้มครองครอบคลุมเกือบทุกกรณี ไม่ว่าผู้ขับจะเป็นฝ่ายถูกหรือผิด เหมาะสำหรับรถใหม่หรือรถที่มีมูลค่าสูง
ประกันชั้น 2+ และ 3+
ประกันชั้น 2+ คุ้มครองรถของเราในกรณีชนกับรถยนต์เท่านั้น ส่วนชั้น 3+ คุ้มครองคล้ายกันแต่ไม่รวมกรณีสูญหายหรือไฟไหม้ เหมาะสำหรับรถที่ใช้งานมาแล้วหลายปี
ประกันชั้น 3
คุ้มครองเฉพาะความเสียหายของคู่กรณี รถของเราไม่อยู่ในความคุ้มครอง เหมาะสำหรับรถเก่าหรือรถที่มีมูลค่าไม่สูง
สิทธิของผู้เอาประกันตามกฎหมาย
เมื่อทำประกันรถยนต์แล้ว ผู้เอาประกันมีสิทธิได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายดังนี้
- สิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนภายในระยะเวลาที่เหมาะสม โดยบริษัทประกันต้องจ่ายภายใน 15 วันหลังจากได้รับเอกสารครบถ้วน
- สิทธิได้รับเอกสารกรมธรรม์และรายละเอียดความคุ้มครองอย่างครบถ้วน
- สิทธิร้องเรียนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย หรือ คปภ. หากเห็นว่าบริษัทประกันปฏิบัติไม่เป็นธรรม
ความแตกต่างระหว่างเคลมสดและเคลมแห้ง
เคลมสด หมายถึงการเคลมเมื่อเกิดเหตุและมีคู่กรณีอยู่ในที่เกิดเหตุ เช่น รถชนท้าย หรือชนกันสองฝ่าย
เคลมแห้ง หมายถึงการเคลมเมื่อไม่มีคู่กรณี เช่น รถเฉี่ยวกำแพงหรือขูดเสา
ควรถ่ายภาพหลักฐานทุกครั้งและแจ้งบริษัททันทีหลังเกิดเหตุ เพื่อป้องกันปัญหาการปฏิเสธความรับผิดในภายหลัง
ขั้นตอนทางกฎหมายเมื่อเกิดอุบัติเหตุ
- หากมีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต ต้องแจ้งตำรวจทันที การไม่แจ้งถือว่าผิดกฎหมาย
- ห้ามเคลื่อนย้ายรถออกจากจุดเกิดเหตุโดยไม่จำเป็น เพราะอาจกระทบต่อหลักฐานในคดี
- หากเป็นฝ่ายผิด ต้องรับผิดทั้งค่าซ่อมและค่ารักษาพยาบาลของผู้เสียหาย
เคล็ดลับเลือกประกันรถให้เหมาะกับตนเอง
- พิจารณาจากลักษณะการใช้งาน หากขับทุกวันควรเลือกประกันชั้น 1 หากใช้ไม่บ่อยอาจเลือกชั้น 2+ หรือ 3+
- ดูชื่อเสียงของบริษัทประกันและความรวดเร็วในการบริการเคลม
- อ่านเงื่อนไขในกรมธรรม์ให้ครบถ้วน โดยเฉพาะข้อยกเว้นการคุ้มครอง
- ตรวจสอบโปรโมชั่นหรือส่วนลด เช่น ส่วนลดจากระบบ telematics ที่วัดพฤติกรรมการขับขี่
สิ่งที่ควรทำเมื่อเกิดข้อพิพาทกับบริษัทประกัน
หากบริษัทประกันปฏิเสธหรือจ่ายค่าสินไหมล่าช้า ผู้เอาประกันมีสิทธิดำเนินการได้ดังนี้
- ร้องเรียนต่อบริษัทโดยตรงก่อน บริษัทต้องตอบกลับภายใน 15 วัน
- หากไม่ได้รับความเป็นธรรม สามารถร้องเรียนต่อ คปภ. ผ่านเว็บไซต์หรือสายด่วน 1186
- หากเป็นกรณีที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดสัญญา สามารถฟ้องร้องต่อศาลแพ่งได้
การปรึกษาทนายก่อนดำเนินคดีจะช่วยให้เข้าใจกระบวนการและลดความผิดพลาดในการดำเนินการทางกฎหมาย
ตัวอย่างแนวคำพิพากษาที่เกี่ยวกับประกันรถยนต์
มีกรณีหนึ่งที่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า บริษัทประกันไม่อาจปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมได้ หากเงื่อนไขในกรมธรรม์ไม่ชัดเจนหรือมีความคลุมเครือ โดยอ้างอิงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 368 วรรคสอง ที่ระบุว่า
“ข้อสงสัยในสัญญาต้องตีความไปในทางที่เป็นคุณแก่ผู้ทำสัญญาซึ่งมิได้เป็นผู้ร่าง”
ดังนั้น หากบริษัทเป็นผู้ออกสัญญา ศาลจะตีความเข้าข้างผู้เอาประกันในกรณีที่เนื้อหาคลุมเครือ
ความรับผิดของเจ้าของรถตามกฎหมาย
แม้เจ้าของรถจะไม่ได้เป็นผู้ขับ แต่ยังมีความรับผิดร่วมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 437 หากปล่อยให้ผู้อื่นใช้รถและเกิดความเสียหายต่อบุคคลภายนอก
หากให้ผู้อื่นยืมรถ ควรตรวจสอบว่าเขามีใบอนุญาตขับขี่และไม่อยู่ในสภาพมึนเมา เพราะหากเกิดอุบัติเหตุ บริษัทประกันบางแห่งอาจปฏิเสธการชดใช้ได้
บทบาทของทนายในการจัดการคดีประกันรถยนต์
ในหลายกรณี ผู้เอาประกันอาจเสียเปรียบเพราะไม่เข้าใจเงื่อนไขของสัญญา หรือถูกบริษัทตีความเพื่อจำกัดสิทธิ เช่น
- ปฏิเสธจ่ายเนื่องจากไม่ได้แจ้งเหตุทันที
- ผู้ขับไม่ใช่บุคคลที่ระบุในกรมธรรม์
- ตีความว่า “ชนสิ่งของ” ไม่ครอบคลุมบางกรณี
ทนายสามารถช่วยตรวจสัญญา วิเคราะห์สิทธิที่พึงได้ และดำเนินการทางกฎหมายเมื่อเกิดข้อพิพาท เพื่อให้ผู้เอาประกันได้รับความเป็นธรรม
สรุป
ประกันรถยนต์ไม่ใช่เพียงเรื่องภาคบังคับ แต่เป็นการปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของผู้ใช้รถ การทำประกันที่เหมาะสมช่วยลดภาระทางการเงินในยามเกิดเหตุไม่คาดคิด และหากเกิดปัญหาการเคลมหรือข้อพิพาทกับบริษัทประกัน การมีที่ปรึกษาทางกฎหมายจะช่วยให้เรื่องจบลงอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม
สามารถติดต่อทนายวิรัชได้ที่
สายด่วน โทร 081-258-5681
หรือ Add Line: @732hjgrx
ให้คำปรึกษาด้านกฎหมายเกี่ยวกับประกันรถ การเคลม และข้อพิพาททางแพ่งอย่างเข้าใจง่ายและเป็นกันเอง

