เคลมประกันรถยนต์คืออะไร?

คำว่า “เคลม” หมายถึง การที่ผู้เอาประกันแจ้งบริษัทประกันภัยให้รับผิดชอบค่าเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ของตนตามข้อตกลงในกรมธรรม์ เช่น ค่าซ่อมรถ ค่าทดแทน หรือค่าเสียหายจากอุบัติเหตุ

กล่าวง่าย ๆ คือ “เคลม” คือการใช้สิทธิของผู้เอาประกันตามสัญญาที่ทำไว้กับบริษัทประกันภัย


🚗 ประเภทของการเคลมประกันรถยนต์

ก่อนจะเริ่มขั้นตอนการเคลม เราต้องรู้ก่อนว่า “เคลมมีกี่แบบ” เพื่อเลือกวิธีดำเนินการให้ถูกต้องและรวดเร็ว

1. เคลมประกันแบบมีคู่กรณี

คือการเคลมเมื่อเกิดอุบัติเหตุที่มี “รถอีกคัน” หรือ “บุคคลอื่น” เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น รถชน รถเฉี่ยว หรือมีผู้ได้รับบาดเจ็บ

กรณีนี้บริษัทประกันจะต้องตรวจสอบความเสียหายของทั้งสองฝ่าย เพื่อพิจารณาว่าใครเป็นฝ่ายผิดหรือถูก

ตัวอย่างเช่น:

  • ชนท้ายรถคันหน้า → ฝ่ายชนท้ายมักเป็นฝ่ายผิด
  • ถูกเฉี่ยวชนจากด้านข้าง → ต้องดูพฤติการณ์ของทั้งสองฝ่าย เช่น การเปลี่ยนเลน หรือฝ่าฝืนสัญญาณไฟ

2. เคลมประกันแบบไม่มีคู่กรณี

เป็นกรณีที่รถของคุณเสียหายโดยไม่มีใครเกี่ยวข้อง เช่น

  • ขับรถชนต้นไม้
  • รถถูกเฉี่ยวตอนจอด
  • รถถูกของตกใส่

ในกรณีนี้ ผู้เอาประกันสามารถเคลมได้ตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ โดยต้องมีหลักฐาน เช่น ภาพถ่าย จุดเกิดเหตุ ใบแจ้งความ หรือเอกสารรับรองจากเจ้าหน้าที่


🧾 ประเภทของประกันภัยรถยนต์และสิทธิในการเคลม

การเคลมจะง่ายหรือซับซ้อน ขึ้นอยู่กับประเภทของประกันที่คุณถืออยู่

ประกันภัยชั้น 1

ครอบคลุมเกือบทุกกรณี ทั้งมีคู่กรณีและไม่มีคู่กรณี รวมถึงกรณีรถสูญหาย ไฟไหม้ น้ำท่วม หรือชนสิ่งของ

✅ เคลมได้ทุกสถานการณ์ (ตามเงื่อนไขกรมธรรม์)
✅ ไม่ต้องกังวลเรื่องคู่กรณี

ประกันภัยชั้น 2+

คุ้มครองกรณีชนกับรถยนต์เท่านั้น หากไม่มีคู่กรณี เช่น ขับชนเสา เคลมไม่ได้

ประกันภัยชั้น 3+

คล้ายชั้น 2+ แต่จะเน้นคุ้มครองความเสียหายของ “รถคู่กรณี” และ “ชีวิตบุคคลภายนอก” มากกว่า

ประกันภัยชั้น 3

คุ้มครองเฉพาะชีวิตและทรัพย์สินของ “บุคคลภายนอก” เท่านั้น รถของผู้เอาประกันไม่คุ้มครอง


📸 ขั้นตอนการเคลมประกันรถยนต์อย่างถูกต้อง

ขั้นตอนที่ 1: ตั้งสติและป้องกันอันตราย

หลังเกิดอุบัติเหตุ ให้เปิดไฟฉุกเฉิน เคลื่อนรถเข้าข้างทาง (หากปลอดภัย) และตรวจสอบว่ามีผู้บาดเจ็บหรือไม่

หากมีผู้บาดเจ็บ โทรแจ้งตำรวจและหน่วยกู้ภัยทันที

ขั้นตอนที่ 2: โทรแจ้งบริษัทประกันภัย

แจ้งเหตุให้บริษัทประกันทราบทันที โดยระบุ

  • ชื่อผู้เอาประกัน
  • ทะเบียนรถ
  • สถานที่เกิดเหตุ
  • ลักษณะเหตุการณ์

เจ้าหน้าที่จะส่ง “พนักงานสำรวจภัย (Surveyor)” มาตรวจสอบความเสียหาย

ขั้นตอนที่ 3: ถ่ายรูปหลักฐาน

เก็บภาพจุดเกิดเหตุ ทะเบียนคู่กรณี สภาพรถ และป้ายถนนไว้ให้ครบ เพื่อเป็นหลักฐานในการเคลม

ขั้นตอนที่ 4: รอพนักงานประกันมาประเมิน

พนักงานจะตรวจสอบและออกใบเคลม (ใบรับแจ้งอุบัติเหตุ) เพื่อให้คุณนำไปใช้ซ่อมรถในอู่ที่กำหนด

ขั้นตอนที่ 5: นำรถเข้าซ่อม

เลือกอู่ซ่อมในเครือ หรืออู่ที่คุณไว้ใจ โดยใช้ใบเคลมเป็นหลักฐานยืนยัน


⚖️ สิทธิของผู้เอาประกันตามกฎหมาย

ตาม พระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ผู้เอาประกันมีสิทธิเรียกร้องความคุ้มครองจากบริษัทประกันภัยตามสัญญาได้เต็มจำนวน หากทำตามเงื่อนไขในกรมธรรม์

บริษัทประกันไม่มีสิทธิปฏิเสธการเคลมโดยไม่มีเหตุอันสมควร เช่น

  • ปฏิเสธโดยไม่ตรวจสอบ
  • อ้างเหตุคลุมเครือในกรมธรรม์
  • ล่าช้าเกินสมควร

หากพบการปฏิเสธไม่เป็นธรรม ผู้เอาประกันสามารถร้องเรียนต่อ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้โดยตรง


📍 เอกสารที่ต้องใช้ในการเคลม

  1. กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์
  2. ใบขับขี่ของผู้ขับ
  3. สำเนาทะเบียนรถ
  4. ใบรับแจ้งอุบัติเหตุ / ใบเคลม
  5. ใบแจ้งความ (กรณีมีคู่กรณีหรือทรัพย์สินบุคคลอื่นเสียหาย)
  6. ภาพถ่ายความเสียหายของรถ

🧠 เทคนิคจากทนาย: เคลมอย่างไรไม่ให้เสียสิทธิ

  1. อย่ารีบตกลงค่าเสียหายหน้างาน
    หากยังไม่แน่ใจว่าใครผิด อย่าลงชื่อยอมรับความผิดในเอกสารของคู่กรณีทันที
  2. อย่าซ่อมรถก่อนแจ้งประกัน
    เพราะบริษัทอาจไม่รับผิดชอบหากไม่มีหลักฐานจุดเกิดเหตุหรือใบเคลม
  3. ถ่ายภาพทุกมุมให้ครบ
    ภาพคือหลักฐานสำคัญที่สุดในการพิสูจน์ข้อเท็จจริงทางกฎหมาย
  4. เก็บหลักฐานการติดต่อทุกอย่างไว้
    เช่น ชื่อพนักงานประกัน วันเวลาโทรแจ้ง และใบรับแจ้งเหตุ
  5. กรณีคู่กรณีไม่มีประกันหรือหลบหนี
    หากคุณมีประกันชั้น 1 สามารถเคลมได้โดยตรงกับบริษัทประกันของคุณเอง

🧩 เคลมแบบเรียกร้องค่าเสียหายจากคู่กรณี (Subrogation Claim)

เมื่อคุณได้รับความเสียหายจากความประมาทของอีกฝ่าย บริษัทประกันของคุณอาจ “จ่ายไปก่อน” แล้วไปเรียกคืนจากบริษัทประกันของคู่กรณีภายหลัง

เรียกว่า “การใช้สิทธิไล่เบี้ย” ตามมาตรา 879 แห่ง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งระบุว่า

“ผู้รับประกันภัยย่อมได้สิทธิไล่เบี้ยต่อบุคคลผู้ต้องรับผิดในความเสียหายนั้นเท่าที่ได้ใช้เงินแทนไปแล้ว”


🔍 เคลมประกันรถยนต์แบบไม่ต้องแจ้งตำรวจ ทำได้ไหม?

ได้ครับ หากไม่มีผู้บาดเจ็บ และความเสียหายเป็นเพียงทรัพย์สินเล็กน้อย เช่น

  • ชนรั้วบ้านตัวเอง
  • รถถูกเฉี่ยวขณะจอด

แต่หากมีคู่กรณีหรือมีความเสียหายต่อทรัพย์สินของผู้อื่น ควรแจ้งตำรวจทุกครั้ง เพื่อป้องกันการโต้แย้งภายหลัง


🧾 เคลมแห้ง คืออะไร?

“เคลมแห้ง” หมายถึง การเคลมย้อนหลังในกรณีที่รถเกิดรอยขีดข่วนหรือเสียหายเล็กน้อย โดยไม่มีการแจ้งเหตุทันที

ตัวอย่างเช่น
ขับรถไปแล้วพบว่ามีรอยขูดที่ประตูหลัง คุณสามารถติดต่อบริษัทประกันเพื่อขอเคลมแห้งได้ โดยนำรถไปตรวจที่ศูนย์หรืออู่ที่กำหนด

อย่างไรก็ตาม ต้องตรวจสอบว่ากรมธรรม์ของคุณอนุญาตให้เคลมแห้งได้กี่ครั้งต่อปี


🧯 เคลมกรณีรถถูกไฟไหม้ หรือน้ำท่วม

หากรถเสียหายจากไฟไหม้ หรือน้ำท่วม ผู้เอาประกันสามารถเรียกร้องค่าชดเชยได้ (เฉพาะประกันชั้น 1 และบางกรณีของชั้น 2+)

หลักฐานที่ควรมี ได้แก่

  • รูปถ่ายความเสียหาย
  • รายงานจากเจ้าหน้าที่ดับเพลิง หรือ อบต./เทศบาล
  • เอกสารแจ้งเหตุจากตำรวจ

บริษัทประกันจะพิจารณาตามมูลค่าความเสียหายจริง โดยอาจจ่าย “ซ่อม” หรือ “คืนทุนประกัน” หากรถเสียหายทั้งหมด (Total Loss)


📞 ติดต่อทนายเพื่อขอคำปรึกษาเพิ่มเติม

การเคลมประกันรถยนต์บางกรณีอาจซับซ้อน เช่น มีผู้บาดเจ็บ มีการโต้แย้งว่าใครผิด หรือบริษัทประกันปฏิเสธการจ่าย

ในสถานการณ์เช่นนี้ การปรึกษาทนายผู้มีประสบการณ์ด้านกฎหมายประกันภัย จะช่วยให้คุณรักษาสิทธิของตนได้ครบถ้วน

หากคุณมีข้อสงสัย หรือต้องการให้ช่วยดูเอกสารกรมธรรม์ก่อนเคลม
สามารถติดต่อทนายวิรัชได้ที่
สายด่วน โทร 0812585681
หรือ Add Line: @732hjgrx


✅ สรุป: เคลมประกันรถยนต์ไม่ยาก หากเข้าใจสิทธิของตน

การเคลมประกันรถยนต์จะไม่ยุ่งยาก หากคุณเข้าใจขั้นตอนและรู้จักใช้สิทธิตามกฎหมายอย่างถูกวิธี
สิ่งสำคัญคือ

  • แจ้งเหตุทันที
  • เก็บหลักฐานครบถ้วน
  • ไม่รีบลงนามยอมรับความผิด
  • และหากมีข้อโต้แย้ง ให้ปรึกษาทนายความ

การเตรียมตัวล่วงหน้า ย่อมดีกว่าต้องมาแก้ไขภายหลัง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *