กฎหมายอสังหาริมทรัพย์ไทย: สิ่งที่เจ้าของบ้าน นักลงทุน และผู้ซื้อควรรู้ ก่อนเซ็นสัญญา

บทนำ: ทำไม “กฎหมายอสังหาริมทรัพย์” ถึงสำคัญกว่าที่คิด

อสังหาริมทรัพย์ไม่ใช่แค่ “ที่ดิน บ้าน หรือคอนโด” แต่ยังหมายถึง “สิทธิ” ในการครอบครอง ใช้ประโยชน์ หรือโอนให้ผู้อื่นได้ตามกฎหมาย ซึ่งแต่ละขั้นตอนตั้งแต่ การซื้อขาย การเช่า การจำนอง การโอนกรรมสิทธิ์ หรือแม้แต่การแบ่งมรดก ล้วนมีผลทางกฎหมายที่สำคัญ หากละเลยเพียงจุดเดียวอาจทำให้เกิดปัญหาฟ้องร้อง หรือสูญเสียสิทธิในทรัพย์สินได้

บทความนี้จะพาคุณเข้าใจ กฎหมายอสังหาริมทรัพย์ของไทยแบบครบวงจร เหมาะสำหรับเจ้าของบ้าน นักลงทุน นายหน้า หรือผู้ที่กำลังจะซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้คุณสามารถวางแผนทางกฎหมายได้อย่างมั่นใจ


1. ความหมายของ “อสังหาริมทรัพย์” ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 139

“อสังหาริมทรัพย์ หมายถึง ทรัพย์ที่เคลื่อนที่ไม่ได้ เช่น ที่ดิน และทรัพย์ที่ติดอยู่กับที่ดินอย่างถาวร รวมถึงสิทธิที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์”

สรุปง่าย ๆ คือ “อสังหาริมทรัพย์” ครอบคลุมถึง

  • ที่ดิน
  • สิ่งปลูกสร้างที่ติดกับที่ดิน เช่น บ้าน อาคาร โรงงาน
  • สิทธิที่เกี่ยวข้อง เช่น สิทธิการเช่า สิทธิอาศัย ภาระจำยอม หรือจำนอง

ดังนั้น ไม่ว่าจะซื้อบ้าน ลงทุนคอนโด หรือให้เช่าที่ดิน ล้วนเกี่ยวข้องกับกฎหมายอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมด


2. ประเภทของสิทธิในอสังหาริมทรัพย์

กฎหมายไทยกำหนด “สิทธิในอสังหาริมทรัพย์” ได้หลายรูปแบบ โดยแต่ละแบบมีขอบเขตแตกต่างกัน ได้แก่

2.1 กรรมสิทธิ์ (Ownership)

สิทธิครอบครองและใช้ประโยชน์เต็มที่ตามกฎหมาย เช่น ซื้อบ้านหรือที่ดินแล้วเป็นเจ้าของสมบูรณ์

2.2 สิทธิครอบครอง (Possession Right)

สิทธิครอบครองโดยไม่ใช่เจ้าของ เช่น ผู้เช่าที่อยู่อาศัย

2.3 สิทธิอาศัย (Habitation Right)

สิทธิอยู่อาศัยในทรัพย์ของผู้อื่น โดยไม่ใช่เจ้าของ และโอนให้ผู้อื่นไม่ได้

2.4 ภาระจำยอม (Servitude)

สิทธิของเจ้าของที่ดินแปลงหนึ่งที่สามารถใช้ประโยชน์บางอย่างจากที่ดินอีกแปลงได้ เช่น ทางผ่านน้ำ ท่อระบายน้ำ

2.5 สิทธิจำนอง (Mortgage Right)

สิทธิของเจ้าหนี้ที่ได้รับหลักประกันเป็นอสังหาริมทรัพย์ หากลูกหนี้ผิดสัญญา เจ้าหนี้มีสิทธิบังคับขายทรัพย์นั้น


3. ขั้นตอนสำคัญในการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์

การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ไม่ใช่แค่ “จ่ายเงิน-โอนชื่อ” เท่านั้น แต่ต้องผ่านกระบวนการที่ถูกต้องทางกฎหมาย

ขั้นตอนหลักประกอบด้วย

  1. ตรวจสอบเอกสารสิทธิ์ที่ดิน (โฉนด)
    • ตรวจสอบชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์
    • ดูเลขที่โฉนดและแผนที่แนบท้าย
  2. ทำสัญญาจะซื้อจะขาย
    เพื่อระบุรายละเอียดราคา วันโอน และเงื่อนไขต่าง ๆ
  3. นัดโอนกรรมสิทธิ์ที่สำนักงานที่ดิน
    • จ่ายค่าธรรมเนียมการโอน
    • ชำระภาษีที่เกี่ยวข้อง เช่น ภาษีธุรกิจเฉพาะ หรืออากรแสตมป์
  4. รับโฉนดและหลักฐานการชำระเงิน

ข้อควรระวัง:
การทำสัญญาซื้อขายต้องเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ มิฉะนั้นอาจเป็นโมฆะตามกฎหมาย


4. กฎหมายเกี่ยวกับการเช่าอสังหาริมทรัพย์

4.1 ระยะเวลาการเช่า

  • ถ้าเช่าน้อยกว่า 3 ปี ทำเป็นหนังสือธรรมดาได้
  • ถ้าเช่าเกิน 3 ปี ต้องจดทะเบียนที่สำนักงานที่ดิน

4.2 สิทธิของผู้เช่า

  • ใช้ทรัพย์ได้ตามวัตถุประสงค์ในสัญญา
  • มีสิทธิเรียกร้องให้ผู้ให้เช่าซ่อมแซม หากทรัพย์เสียหายโดยไม่ใช่ความผิดของผู้เช่า

4.3 สิทธิของผู้ให้เช่า

  • เรียกค่าเช่าตามกำหนด
  • บอกเลิกสัญญาได้หากผู้เช่าผิดเงื่อนไข

5. ภาษีและค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์

ผู้ซื้อและผู้ขายต้องเตรียมงบประมาณภาษีและค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง ได้แก่

รายการผู้รับผิดชอบหลักอัตราโดยประมาณ
ค่าธรรมเนียมการโอนผู้ซื้อและผู้ขายตกลงกัน2% ของราคาประเมิน
ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายผู้ขายคำนวณตามรายได้สุทธิ
ภาษีธุรกิจเฉพาะผู้ขาย3.3% ของราคาขาย
อากรแสตมป์ผู้ขาย0.5% ของราคาขาย

เคล็ดลับ: หากถือครองที่ดินหรือบ้านเกิน 5 ปี หรือเป็นที่อยู่อาศัยหลัก อาจได้รับการยกเว้นภาษีบางประเภท


6. การจำนองอสังหาริมทรัพย์

“จำนอง” คือ การนำอสังหาริมทรัพย์เป็นหลักประกันหนี้ โดยผู้จำนองยังคงครอบครองทรัพย์ได้ แต่หากผิดนัด เจ้าหนี้สามารถบังคับขายได้

ข้อควรรู้:

  • ต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
  • หนี้ต้องมีมูลค่าชัดเจน เช่น สัญญากู้เงิน
  • เมื่อชำระหนี้ครบ ต้องถอนจำนองโดยทำเป็นหนังสือ

7. ปัญหาที่พบบ่อยในคดีอสังหาริมทรัพย์

  1. ซื้อขายโดยไม่มีเอกสารสิทธิ์ถูกต้อง
  2. ซื้อบ้านร่วมแต่ไม่มีชื่อในโฉนด
  3. ผู้เช่าไม่ยอมย้ายออกหลังหมดสัญญา
  4. นายหน้าทำสัญญาไม่ชัดเจน
  5. ซื้อที่ดินติดภาระจำยอมโดยไม่รู้มาก่อน

ทุกกรณีข้างต้น หากเกิดข้อพิพาท ควรมีที่ปรึกษากฎหมายช่วยตรวจสอบสัญญาและสิทธิที่แท้จริงก่อนดำเนินการ


8. อสังหาริมทรัพย์กับมรดกและการโอนทรัพย์

เมื่อเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ถึงแก่กรรม ทรัพย์นั้นจะตกทอดเป็น “มรดก”
ผู้รับมรดกต้องดำเนินการ

  1. ขอหนังสือรับรองการเป็นทายาท
  2. จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ ณ สำนักงานที่ดิน
  3. ชำระภาษีมรดก (กรณีมีมูลค่าเกิน 100 ล้านบาท)

หากไม่มีพินัยกรรม อาจเกิดข้อพิพาทระหว่างทายาทได้ การวางแผนมรดกตั้งแต่เนิ่น ๆ จึงช่วยลดความขัดแย้งได้มาก


9. เคล็ดลับทางกฎหมายก่อนซื้อ-ขายอสังหาริมทรัพย์

  1. ตรวจสอบผังเมืองและสิทธิครอบครอง
  2. ตรวจสอบภาระผูกพัน เช่น จำนอง หรือคดีค้าง
  3. อ่านสัญญาให้ครบทุกหน้า
  4. ทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรทุกครั้ง
  5. จ้างผู้ตรวจสอบอสังหาริมทรัพย์ (Surveyor) หากเป็นที่ดินขนาดใหญ่

10. สรุป: กฎหมายอสังหาริมทรัพย์ = เครื่องมือป้องกันความเสี่ยง

ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของบ้าน นักลงทุน หรือผู้ซื้อรายใหม่ “ความเข้าใจกฎหมายอสังหาริมทรัพย์” คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุด การตรวจสอบเอกสารอย่างรอบคอบ การทำสัญญาที่ชัดเจน และการปรึกษาทนายก่อนลงนามทุกครั้ง จะช่วยลดโอกาสเสียเปรียบและป้องกันคดีได้อย่างมาก

หากคุณต้องการให้ช่วยตรวจสัญญา ซื้อขาย โอน จำนอง หรือจัดการข้อพิพาททางอสังหาริมทรัพย์

📞 สามารถติดต่อทนายวิรัชได้ที่
สายด่วน โทร 0812585681
หรือ Add Line: @732hjgrx

ธุรกรรมอสังหาฯ ไม่สะดุด: เจาะลึกประเด็นกฎหมายที่ดินที่คุณต้องจับตา (ฉบับสมบูรณ์)

การมีอสังหาริมทรัพย์เป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นบ้าน ที่ดิน หรือคอนโดมิเนียม ถือเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของชีวิตใครหลายคน แต่การเดินทางไปสู่การเป็นเจ้าของนั้น เต็มไปด้วยรายละเอียดทางกฎหมายที่ซับซ้อน การทำความเข้าใจ “กฎหมายอสังหาริมทรัพย์” จึงไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่เป็น “ความจำเป็น” เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากความไม่รู้ ธุรกรรมเกี่ยวกับที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมีมูลค่าสูง การดำเนินการใดๆ โดยขาดความรัดกุมอาจนำไปสู่ข้อพิพาท การสูญเสียทรัพย์สิน หรือปัญหาที่แก้ไขได้ยากในอนาคต บทความนี้จะพาท่านไปเจาะลึกแง่มุมต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ทุกย่างก้าวในการทำธุรกรรมของท่านเป็นไปอย่างมั่นคง หากมีข้อสงสัยในประเด็นใด สามารถติดต่อทนายวิรัชได้ที่ สายด่วน โทร 0812585681 หรือ add line @732hjgrx

ทำความเข้าใจ “กรรมสิทธิ์” (Ownership) หัวใจของอสังหาริมทรัพย์

ในระบบกฎหมายไทย “กรรมสิทธิ์” ถือเป็นสิทธิที่ใหญ่ที่สุดในอสังหาริมทรัพย์ หมายความว่า ท่านมีสิทธิใช้สอย ได้ดอกผล จำหน่าย และขัดขวางมิให้ผู้อื่นเข้ามายุ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย การจะได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ที่สมบูรณ์ในอสังหาริมทรัพย์นั้น จะต้องมีการทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ สำนักงานที่ดินเสมอ การซื้อขายกันเองโดยไม่ไปจดทะเบียนโอน ถือเป็น “โมฆะ” ในทางกฎหมาย และก่อให้เกิดปัญหาการแอบอ้างสิทธิในภายหลังได้ การตรวจสอบสถานะของกรรมสิทธิ์ก่อนทำธุรกรรมจึงเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุด หากมีข้อสงสัยในประเด็นใด สามารถติดต่อทนายวิรัชได้ที่ สายด่วน โทร 0812585681 หรือ add line @732hjgrx

เอกสารสิทธิ์ที่ดินในประเทศไทยมีหลายประเภท แต่เอกสารสิทธิ์ที่แสดงถึงกรรมสิทธิ์อย่างสมบูรณ์ที่สุดคือ “โฉนดที่ดิน” (น.ส. 4) ซึ่งมีตราครุฑสีแดง เป็นเอกสารที่ออกโดยกรมที่ดิน รับรองว่าผู้มีชื่อในโฉนดเป็นเจ้าของที่ดินนั้นอย่างแท้จริง สามารถซื้อขาย โอน หรือจดทะเบียนภาระผูกพันต่างๆ ได้ทันที ส่วนเอกสารสิทธิ์ประเภทอื่น เช่น น.ส. 3 ก. (ครุฑเขียว) หรือ น.ส. 3 (ครุฑดำ) เป็นเพียง “หนังสือรับรองการทำประโยชน์” แม้จะสามารถซื้อขายโอนกันได้ แต่สถานะทางกฎหมายยังไม่เทียบเท่าโฉนด และอาจมีความเสี่ยงในเรื่องแนวเขตหรือการทับซ้อน ส่วนเอกสารอย่าง ภ.บ.ท. 5 หรือ ส.ป.ก. 4-01 ไม่ใช่เอกสารสิทธิ์ที่แสดงกรรมสิทธิ์ แต่เป็นเพียงหลักฐานการเสียภาษีหรือการอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์เท่านั้น ไม่สามารถซื้อขายได้ตามกฎหมายทั่วไป หากมีข้อสงสัยในประเด็นใด สามารถติดต่อทนายวิรัชได้ที่ สายด่วน โทร 0812585681 หรือ add line @732hjgrx

กระบวนการตรวจสอบทรัพย์สิน (Due Diligence) ก่อนตัดสินใจ

“กันไว้ดีกว่าแก้” คือหลักการที่ต้องใช้เสมอในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ กระบวนการตรวจสอบทรัพย์สิน หรือ Due Diligence เป็นขั้นตอนที่ห้ามละเลยเด็ดขาด ก่อนที่ท่านจะตกลงวางเงินมัดจำหรือลงนามในสัญญาใดๆ ท่านควรดำเนินการตรวจสอบข้อมูลสำคัญหลายด้าน เพื่อให้มั่นใจว่าทรัพย์สินที่ท่านกำลังจะซื้อนั้น “ตรงปก” และไม่มีปัญหาซ่อนเร้น การตรวจสอบนี้รวมถึงการตรวจสอบเอกสารสิทธิ์ที่สำนักงานที่ดิน การตรวจสอบแนวเขตที่ดินจริง การตรวจสอบข้อจำกัดการใช้ประโยชน์ที่ดินตามกฎหมายผังเมือง และการตรวจสอบภาระผูกพันต่างๆ ที่อาจติดมากับที่ดิน หากมีข้อสงสัยในประเด็นใด สามารถติดต่อทนายวิรัชได้ที่ สายด่วน โทร 0812585681 หรือ add line @732hjgrx

การตรวจสอบที่สำนักงานที่ดิน (Land Department Check) เป็นสิ่งแรกที่ต้องทำ ท่านสามารถขอคัดสำเนาโฉนดที่ดินฉบับหลวงเพื่อตรวจสอบ “สารบัญจดทะเบียน” ด้านหลังโฉนด ซึ่งจะระบุประวัติทั้งหมดของที่ดินแปลงนั้น เช่น มีการจดทะเบียนจำนอง (ติดจำนองธนาคาร) หรือไม่ มีการจดทะเบียนภาระจำยอม (เช่น ยอมให้ที่ดินแปลงอื่นใช้ทางผ่าน) หรือไม่ มีการจดสิทธิอาศัย หรือสิทธิเก็บกินใดๆ หรือไม่ หรือที่ดินอยู่ระหว่างการอายัดหรือดำเนินคดีหรือไม่ ข้อมูลเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะสิทธิบางอย่างจะยังคงผูกพันที่ดินนั้นต่อไปแม้จะเปลี่ยนเจ้าของแล้วก็ตาม หากมีข้อสงสัยในประเด็นใด สามารถติดต่อทนายวิรัชได้ที่ สายด่วน โทร 0812585681 หรือ add line @732hjgrx

นอกจากการตรวจสอบเอกสารแล้ว การตรวจสอบ “กายภาพ” ของที่ดินก็สำคัญไม่แพ้กัน ท่านควรตรวจสอบว่าแนวเขตที่ดินตรงกับหมุดหลักเขตที่มีอยู่หรือไม่ มีการรุกล้ำจากที่ดินข้างเคียง หรือที่ดินของเราไปรุกล้ำที่ดินผู้อื่นหรือไม่ สภาพแวดล้อมโดยรอบเป็นอย่างไร และที่สำคัญคือ “ทางเข้าออก” ที่ดินแปลงนั้นมีทางเข้าออกติดถนนสาธารณะหรือไม่ หากไม่มี ที่ดินนั้นอาจกลายเป็น “ที่ดินตาบอด” ซึ่งการเข้าออกจะต้องผ่านที่ดินของผู้อื่น และจำเป็นต้องมีการจดทะเบียน “ภาระจำยอม” เรื่องทางเข้าออกให้เรียบร้อย ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายหรือข้อตกลงที่ต้องพิจารณา หากมีข้อสงสัยในประเด็นใด สามารถติดต่อทนายวิรัชได้ที่ สายด่วน โทร 0812585681 หรือ add line @732hjgrx

อีกประเด็นที่คนมักลืมคือการตรวจสอบ “กฎหมายผังเมือง” และ “กฎหมายควบคุมอาคาร” ที่ดินที่ท่านสนใจอาจอยู่ในโซนสีที่แตกต่างกัน (เช่น สีเหลือง-ที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย, สีแดง-พาณิชยกรรม) ซึ่งมีข้อจำกัดในการก่อสร้างอาคารที่แตกต่างกัน เช่น ห้ามสร้างโรงงาน ห้ามสร้างอาคารสูง หรือมีข้อกำหนดเรื่องระยะร่นจากถนนหรือแนวเขตที่ดิน การตรวจสอบเรื่องนี้กับสำนักงานเขตหรือเทศบาลในพื้นที่ จะช่วยให้ท่านมั่นใจได้ว่าสามารถใช้ประโยชน์ที่ดินหรือต่อเติมสิ่งปลูกสร้างได้ตามแผนที่วางไว้ หากมีข้อสงสัยในประเด็นใด สามารถติดต่อทนายวิรัชได้ที่ สายด่วน โทร 0812585681 หรือ add line @732hjgrx

สัญญาจะซื้อจะขาย (Contract to Buy and Sell) เอกสารสำคัญที่ต้องรัดกุม

เมื่อตรวจสอบทรัพย์สินจนเป็นที่พอใจแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการทำ “สัญญาจะซื้อจะขาย” สัญญานี้เป็นสัญญาที่ผู้จะขาย “ตกลงว่าจะ” โอนกรรมสิทธิ์ให้ผู้จะซื้อ และผู้จะซื้อ “ตกลงว่าจะ” ชำระราคา โดยมีข้อตกลงว่าจะไปทำการโอนกรรมสิทธิ์กันในอนาคต (ณ วันที่กำหนดที่สำนักงานที่ดิน) สัญญานี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการผูกมัดทั้งสองฝ่าย และเป็นหลักฐานสำคัญหากเกิดการผิดสัญญาขึ้นในภายหลัง การลงนามในสัญญานี้มักจะมาพร้อมกับการวาง “เงินมัดจำ” (Earnest Money) หากมีข้อสงสัยในประเด็นใด สามารถติดต่อทนายวิรัชได้ที่ สายด่วน โทร 0812585681 หรือ add line @732hjgrx

เนื้อหาในสัญญาจะซื้อจะขายต้องมีความชัดเจนและครบถ้วนสมบูรณ์ โดยควรระบุรายละเอียดดังต่อไปนี้เป็นอย่างน้อย:

  1. รายละเอียดคู่สัญญา: ชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ และเลขบัตรประชาชนของทั้งผู้จะซื้อและผู้จะขาย
  2. รายละเอียดทรัพย์สิน: ระบุเลขที่โฉนด ตำแหน่งที่ดิน เนื้อที่ และรายละเอียดสิ่งปลูกสร้างให้ชัดเจน
  3. ราคาซื้อขาย: ระบุราคาสุทธิเป็นตัวเลขและตัวอักษร
  4. การชำระเงิน: ระบุจำนวนเงินมัดจำ และกำหนดการชำระเงินส่วนที่เหลือ (เช่น ชำระทั้งหมดในวันโอนกรรมสิทธิ์)
  5. กำหนดวันโอนกรรมสิทธิ์: ระบุวันที่แน่นอนที่จะไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ ณ สำนักงานที่ดิน
  6. ภาระค่าใช้จ่าย: ตกลงกันให้ชัดเจนว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าธรรมเนียมการโอน ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ภาษีธุรกิจเฉพาะ หรืออากรแสตมป์ (ตามปกติมักจะแบ่งกัน)
  7. ข้อตกลงเรื่องการผิดสัญญา: ระบุให้ชัดเจนว่าหากผู้จะซื้อผิดนัด (เช่น ไม่มาชำระเงินในวันโอน) ผู้จะขายมีสิทธิริบเงินมัดจำ และหากผู้จะขายผิดนัด (เช่น ไม่ยอมโอน) ผู้จะซื้อมีสิทธิเรียกร้องให้ปฏิบัติตามสัญญาพร้อมค่าเสียหาย หรือเรียกเงินมัดจำคืนพร้อมเบี้ยปรับ หากมีข้อสงสัยในประเด็นใด สามารถติดต่อทนายวิรัชได้ที่ สายด่วน โทร 0812585681 หรือ add line @732hjgrx

ความแตกต่างระหว่าง “เงินมัดจำ” และ “เงินดาวน์” (หรือการชำระราคาบางส่วน) มีนัยสำคัญทางกฎหมาย หากเป็น “มัดจำ” ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หากฝ่ายผู้จะซื้อผิดสัญญา ฝ่ายผู้จะขายมีสิทธิ “ริบมัดจำ” นั้นได้ แต่หากเป็น “การชำระราคาล่วงหน้าบางส่วน” หากผู้จะซื้อผิดสัญญา ผู้จะขายไม่มีสิทธิริบเงินส่วนนี้โดยอัตโนมัติ ทำได้เพียงเรียกร้องค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจริงเท่านั้น ดังนั้น การระบุสถานะของเงินก้อนแรกที่จ่ายไปในสัญญาให้ชัดเจนจึงมีความสำคัญต่อสิทธิของคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย หากมีข้อสงสัยในประเด็นใด สามารถติดต่อทนายวิรัชได้ที่ สายด่วน โทร 0812585681 หรือ add line @732hjgrx

สิทธิอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์: ภาระจำยอม สิทธิอาศัย และสิทธิเหนือพื้นดิน

นอกจากกรรมสิทธิ์แล้ว ยังมีสิทธิอื่นๆ ที่อาจผูกพันอยู่กับอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งท่านควรทำความเข้าใจ เพราะอาจส่งผลกระทบต่อการใช้ประโยชน์ในที่ดินของท่าน

  1. ภาระจำยอม (Servitude): เป็นทรัพยสิทธิประเภทหนึ่งที่ทำให้เจ้าของ “ภารยทรัพย์” (ที่ดินที่รับภาระ) ต้องยอมรับภาระบางอย่างเพื่อประโยชน์ของ “สามยทรัพย์” (ที่ดินที่ได้ประโยชน์) ตัวอย่างที่พบบ่อยที่สุดคือ “ภาระจำยอมเรื่องทางเดิน” ซึ่งเจ้าของที่ดินตาบอด (สามยทรัพย์) มีสิทธิเดินผ่านที่ดินแปลงอื่น (ภารยทรัพย์) เพื่อออกสู่ทางสาธารณะ ภาระจำยอมนี้จะติดอยู่กับตัวที่ดิน ไม่ว่าเจ้าของจะเปลี่ยนไปกี่คนก็ตาม หากมีข้อสงสัยในประเด็นใด สามารถติดต่อทนายวิรัชได้ที่ สายด่วน โทร 0812585681 หรือ add line @732hjgrx
  2. สิทธิอาศัย (Habitation): คือสิทธิที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งจะอาศัยอยู่ในโรงเรือนของผู้อื่น สิทธินี้เป็น “สิทธิเฉพาะตัว” ของผู้ได้รับสิทธิเท่านั้น ไม่สามารถโอนให้ผู้อื่นได้ และไม่ตกทอดไปยังทายาท เมื่อผู้มีสิทธิอาศัยถึงแก่ความตาย สิทธินี้ก็ย่อมระงับไป การจดทะเบียนสิทธิอาศัยมักใช้ในกรณีที่บิดามารดาโอนบ้านให้บุตร แต่ยังคงต้องการอาศัยอยู่ในบ้านนั้นต่อไปจนกว่าจะเสียชีวิต หากมีข้อสงสัยในประเด็นใด สามารถติดต่อทนายวิรัชได้ที่ สายด่วน โทร 0812585681 หรือ add line @732hjgrx
  3. สิทธิเหนือพื้นดิน (Superficies): คือสิทธิในการเป็นเจ้าของโรงเรือน สิ่งปลูกสร้าง หรือสิ่งเพาะปลูก บนที่ดินของผู้อื่น สิทธินี้ทำให้เจ้าของที่ดินและเจ้าของสิ่งปลูกสร้างเป็นคนละคนกันได้ สิทธิเหนือพื้นดินสามารถโอนให้กันได้และตกทอดเป็นมรดกได้ (ซึ่งแตกต่างจากสิทธิอาศัย) มักใช้ในกรณีการเช่าที่ดินระยะยาวเพื่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ โดยผู้เช่าต้องการเป็นเจ้าของตัวอาคารนั้นเอง หากมีข้อสงสัยในประเด็นใด สามารถติดต่อทนายวิรัชได้ที่ สายด่วน โทร 0812585681 หรือ add line @732hjgrx

วันโอนกรรมสิทธิ์ ณ กรมที่ดิน: ขั้นตอนและค่าใช้จ่าย

ในวันที่กำหนดในสัญญาจะซื้อจะขาย ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย (หรือผู้รับมอบอำนาจ) จะต้องไปพบกันที่สำนักงานที่ดินเขตที่ทรัพย์สินนั้นตั้งอยู่ เพื่อทำ “สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด” และจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ต่อหน้าพนักงานเจ้าหน้าที่ ขั้นตอนนี้คือขั้นตอนที่กรรมสิทธิ์จะเปลี่ยนมืออย่างสมบูรณ์ตามกฎหมาย ผู้ซื้อจะต้องเตรียมเงินส่วนที่เหลือไปชำระ และทั้งสองฝ่ายจะต้องชำระค่าธรรมเนียมและภาษีต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง หากมีข้อสงสัยในประเด็นใด สามารถติดต่อทนายวิรัชได้ที่ สายด่วน โทร 0812585681 หรือ add line @732hjgrx

ค่าใช้จ่ายหลักๆ ในวันโอนกรรมสิทธิ์ (ซึ่งควรตกลงกันในสัญญาจะซื้อจะขายว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ) ประกอบด้วย:

  1. ค่าธรรมเนียมการโอน: โดยทั่วไปคิดอัตราร้อยละ 2 ของราคาประเมินหรือราคาซื้อขาย (แล้วแต่ราคาใดสูงกว่า)
  2. ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย (Withholding Tax): ฝ่ายผู้ขายเป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีส่วนนี้ โดยคำนวณจากราคาประเมิน หักค่าใช้จ่ายตามจำนวนปีที่ถือครอง แล้วนำไปคำนวณภาษีตามอัตราก้าวหน้า
  3. ภาษีธุรกิจเฉพาะ (Specific Business Tax – SBT): คิดอัตราร้อยละ 3.3 (รวมภาษีท้องถิ่น) ของราคาซื้อขายหรือราคาประเมิน (แล้วแต่ราคาใดสูงกว่า) จะต้องเสียภาษีนี้หากผู้ขายถือครองอสังหาริมทรัพย์นั้นมาน้อยกว่า 5 ปี หรือมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านน้อยกว่า 1 ปี
  4. อากรแสตมป์ (Stamp Duty): คิดอัตราร้อยละ 0.5 ของราคาซื้อขายหรือราคาประเมิน โดยหากผู้ขายเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ (SBT) แล้ว จะได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียอากรแสตมป์ การคำนวณค่าใช้จ่ายเหล่านี้มีความซับซ้อน การเตรียมการและทำความเข้าใจภาระค่าใช้จ่ายล่วงหน้าจะช่วยให้กระบวนการในวันโอนเป็นไปอย่างราบรื่น หากมีข้อสงสัยในประเด็นใด สามารถติดต่อทนายวิรัชได้ที่ สายด่วน โทร 0812585681 หรือ add line @732hjgrx

กฎหมายการเช่าอสังหาริมทรัพย์: สิ่งที่ผู้เช่าและผู้ให้เช่าต้องรู้

การเช่าอสังหาริมทรัพย์ก็เป็นอีกหนึ่งธุรกรรมที่พบบ่อยและมีกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างมาก โดยเฉพาะการเช่าเพื่ออยู่อาศัย ซึ่งปัจจุบันมี “ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจการให้เช่าอาคารเพื่ออยู่อาศัยเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2561” ซึ่งให้ความคุ้มครองผู้เช่าที่เป็นบุคคลธรรมดามากขึ้น ผู้ให้เช่าที่ประกอบธุรกิจให้เช่า (เช่น มี 5 ห้อง/ยูนิตขึ้นไป) ไม่สามารถกำหนดข้อสัญญาที่เอาเปรียบผู้เช่าได้ หากมีข้อสงสัยในประเด็นใด สามารถติดต่อทนายวิรัชได้ที่ สายด่วน โทร 0812585681 หรือ add line @732hjgrx

ประเด็นสำคัญในกฎหมายคุ้มครองผู้เช่าอาคารเพื่ออยู่อาศัย ได้แก่:

  • เงินประกัน (Security Deposit): ผู้ให้เช่าสามารถเรียกเก็บเงินประกันได้ไม่เกิน 1 เดือนของอัตราค่าเช่า และค่าเช่าล่วงหน้าได้ไม่เกิน 1 เดือน
  • การยึดเงินประกัน: ผู้ให้เช่าจะคืนเงินประกันให้ผู้เช่าทันทีเมื่อสัญญาเช่าสิ้นสุด เว้นแต่ผู้ให้เช่าประสงค์จะตรวจสอบความเสียหาย (ซึ่งผู้เช่าไม่ต้องรับผิดในความเสียหายตามการใช้งานปกติ)
  • อัตราค่าน้ำค่าไฟ: ผู้ให้เช่าไม่สามารถเรียกเก็บค่าน้ำค่าไฟในอัตราที่สูงเกินกว่าอัตราที่การไฟฟ้าและการประปาเรียกเก็บได้
  • การบอกเลิกสัญญา: ผู้เช่ามีสิทธิบอกเลิกสัญญาก่อนครบกำหนดได้ โดยต้องแจ้งล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรไม่น้อยกว่า 30 วัน ส่วนผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาได้ก็ต่อเมื่อผู้เช่าผิดนัดชำระค่าเช่าหรือทำผิดสัญญาในข้อสำคัญ หากมีข้อสงสัยในประเด็นใด สามารถติดต่อทนายวิรัชได้ที่ สายด่วน โทร 0812585681 หรือ add line @732hjgrx

สำหรับการเช่าระยะยาว (Long-Term Lease) เช่น การเช่าที่ดินเพื่อสร้างโรงงานหรืออาคารพาณิชย์ หากเป็นการเช่าที่มีกำหนดเวลาเกินกว่า 3 ปี หรือตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่า กฎหมายกำหนดให้ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ สำนักงานที่ดิน มิฉะนั้น การเช่านั้นจะฟ้องร้องบังคับคดีกันได้เพียง 3 ปีเท่านั้น การเช่าอสังหาริมทรัพย์สามารถจดทะเบียนได้สูงสุดไม่เกิน 30 ปี และเมื่อสิ้นสุดระยะเวลา 30 ปีแล้ว สามารถตกลงต่อสัญญาใหม่ได้อีกไม่เกิน 30 ปี หากมีข้อสงสัยในประเด็นใด สามารถติดต่อทนายวิรัชได้ที่ สายด่วน โทร 0812585681 หรือ add line @732hjgrx

ประเด็นสำหรับชาวต่างชาติกับการถือครองอสังหาริมทรัพย์ในไทย

กฎหมายที่ดินของไทยมีหลักการสำคัญคือ “การจำกัดสิทธิของคนต่างด้าวในการถือครองที่ดิน” โดยหลักแล้ว คนต่างด้าว (บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลต่างด้าว) ไม่สามารถมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินในประเทศไทยได้ เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นตามกฎหมาย (เช่น การได้รับมรดก หรือการนำเงินมาลงทุนตามเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งมีขั้นตอนที่ยุ่งยากและมีข้อจำกัดสูง) อย่างไรก็ตาม มีช่องทางที่คนต่างด้าวสามารถถือครองอสังหาริมทรัพย์ในไทยได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย หากมีข้อสงสัยในประเด็นใด สามารถติดต่อทนายวิรัชได้ที่ สายด่วน โทร 0812585681 หรือ add line @732hjgrx

ช่องทางที่ได้รับความนิยมที่สุดสำหรับคนต่างด้าวคือ “การซื้อคอนโดมิเนียม” หรือ “อาคารชุด” (Condominium) ตามพระราชบัญญัติอาคารชุด คนต่างด้าวสามารถถือกรรมสิทธิ์ในห้องชุดได้ แต่มีเงื่อนไขสำคัญคือ สัดส่วนการถือครองของคนต่างด้าวทั้งหมดในอาคารชุดนั้นๆ จะต้องไม่เกินร้อยละ 49 ของพื้นที่ห้องชุดทั้งหมดในอาคารชุดนั้น (เรียกว่า 49% Foreign Quota) และคนต่างด้าวจะต้องแสดงหลักฐานการนำเงินตราต่างประเทศเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อชำระค่าห้องชุดนั้น (เช่น เอกสาร ภ.อ.ท. 3 หรือ FET Form) หากมีข้อสงสัยในประเด็นใด สามารถติดต่อทนายวิรัชได้ที่ สายด่วน โทร 0812585681 หรือ add line @732hjgrx

อีกทางเลือกหนึ่งสำหรับคนต่างด้าวที่ต้องการใช้ประโยชน์ในที่ดินคือ “การเช่าระยะยาว” (Long-Term Lease) ดังที่กล่าวไปแล้ว คนต่างด้าวสามารถทำสัญญาเช่าที่ดินหรือบ้านได้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยสามารถจดทะเบียนสิทธิการเช่าได้สูงสุด 30 ปี และสามารถตกลงในสัญญาเพื่อต่ออายุได้อีก 30 ปี (รวมเป็น 60 ปี) การจดทะเบียนสิทธิการเช่านี้จะทำให้สิทธิการเช่าผูกพันกับตัวทรัพย์สิน แม้เจ้าของที่ดินจะขายที่ดินนั้นให้ผู้อื่นในภายหลัง สิทธิการเช่าของผู้เช่าต่างด้าวก็ยังคงอยู่จนกว่าจะครบกำหนดสัญญา หากมีข้อสงสัยในประเด็นใด สามารถติดต่อทนายวิรัชได้ที่ สายด่วน โทร 0812585681 หรือ add line @732hjgrx

การใช้ “บริษัทไทย” ในการถือครองที่ดินเป็นอีกวิธีหนึ่งที่พบบ้าง แต่มีความซับซ้อนทางกฎหมายสูง บริษัทที่จะถือว่าเป็น “บริษัทไทย” และสามารถซื้อที่ดินได้ จะต้องมีผู้ถือหุ้นสัญชาติไทยถือหุ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 ของทุนจดทะเบียน การจัดตั้งบริษัทในลักษณะนี้โดยมีเจตนาหลีกเลี่ยงกฎหมาย (Nominee Structure) อาจนำไปสู่การตรวจสอบและปัญหาทางกฎหมายที่ร้ายแรงได้ในอนาคต การดำเนินการในลักษณะนี้จึงต้องมีการวางแผนและดำเนินการให้สอดคล้องกับกฎหมายธุรกิจอย่างเคร่งครัด หากมีข้อสงสัยในประเด็นใด สามารถติดต่อทนายวิรัชได้ที่ สายด่วน โทร 0812585681 หรือ add line @732hjgrx

ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง: ภาระหน้าที่ใหม่ของเจ้าของ

นอกเหนือจากภาษีในวันโอนแล้ว ปัจจุบันผู้ถือครองอสังหาริมทรัพย์ยังมีหน้าที่ต้องชำระ “ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง” (Land and Building Tax) ซึ่งเป็นภาษีที่จัดเก็บโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (เช่น เทศบาล หรือ อบต.) เป็นรายปี ภาษีนี้จะคำนวณจาก “มูลค่าประเมิน” ของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยมีอัตราภาษีที่แตกต่างกันไปตามประเภทการใช้ประโยชน์ของทรัพย์สินนั้นๆ หากมีข้อสงสัยในประเด็นใด สามารถติดต่อทนายวิรัชได้ที่ สายด่วน โทร 0812585681 หรือ add line @732hjgrx

ประเภทการใช้ประโยชน์หลักๆ ที่มีผลต่ออัตราภาษี ได้แก่:

  1. เกษตรกรรม: มีอัตราภาษีที่ต่ำที่สุด
  2. ที่อยู่อาศัย: แบ่งเป็นบ้านหลังหลัก (ซึ่งมักได้รับยกเว้นในมูลค่าประเมินระดับหนึ่งหากมีชื่อในทะเบียนบ้าน) และบ้านหลังอื่นๆ (ซึ่งไม่ได้รับยกเว้น)
  3. พาณิชยกรรม/อื่นๆ: เช่น ใช้ทำร้านค้า ออฟฟิศ ให้เช่า ซึ่งมีอัตราภาษีสูงกว่าที่อยู่อาศัย
  4. ที่ดินรกร้างว่างเปล่า: ที่ดินที่ไม่ได้ทำประโยชน์ตามควรแก่สภาพ จะมีอัตราภาษีสูงที่สุด และอัตราจะเพิ่มขึ้นทุก 3 ปี เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้ประโยชน์ในที่ดิน เจ้าของทรัพย์สินมีหน้าที่ตรวจสอบการประเมินและชำระภาษีภายในระยะเวลาที่กำหนดในแต่ละปี หากมีข้อสงสัยในประเด็นใด สามารถติดต่อทนายวิรัชได้ที่ สายด่วน โทร 0812585681 หรือ add line @732hjgrx

อสังหาริมทรัพย์ในฐานะมรดก: การวางแผนและการส่งต่อ

อสังหาริมทรัพย์มักเป็นทรัพย์สินหลักที่ถูกส่งต่อเป็นมรดกไปยังทายาท การวางแผนเรื่องมรดกจึงมีความเชื่อมโยงกับกฎหมายอสังหาริมทรัพย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การส่งต่อสามารถทำได้สองวิธีหลักคือ 1) การโอนให้ในขณะที่เจ้าของยังมีชีวิตอยู่ (เช่น การให้โดยเสน่หา) หรือ 2) การส่งต่อเมื่อเจ้าของถึงแก่ความตาย (การรับมรดก) ซึ่งการโอนในขณะมีชีวิตอาจมีค่าใช้จ่ายเรื่องค่าธรรมเนียมและภาษีที่แตกต่างจากการรับมรดก หากมีข้อสงสัยในประเด็นใด สามารถติดต่อทนายวิรัชได้ที่ สายด่วน โทร 0812585681 หรือ add line @732hjgrx

หากเจ้าของทรัพย์สินเสียชีวิตโดยไม่ได้ทำ “พินัยกรรม” (Will) ทรัพย์สินนั้นจะตกทอดแก่ “ทายาทโดยธรรม” ตามลำดับขั้นที่กฎหมายกำหนด (เช่น ผู้สืบสันดาน, บิดามารดา, พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ฯลฯ) ซึ่งอาจนำไปสู่ข้อขัดแย้งในการแบ่งปันทรัพย์สิน หรือการที่ทรัพย์สินต้องตกเป็น “กรรมสิทธิ์รวม” ของทายาทหลายคน ซึ่งก่อให้เกิดความยุ่งยากในการบริหารจัดการหรือขายต่อในอนาคต หากมีข้อสงสัยในประเด็นใด สามารถติดต่อทนายวิรัชได้ที่ สายด่วน โทร 0812585681 หรือ add line @732hjgrx

การทำ “พินัยกรรม” ที่ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายกำหนด จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการทรัพย์สินอสังหาริมทรัพย์ของท่าน เจ้าของมรดกสามารถระบุเจตนาได้อย่างชัดเจนว่าต้องการยกบ้านหรือที่ดินแปลงใดให้แก่ทายาทคนใด หรือกำหนดเงื่อนไขในการรับมรดกได้ ซึ่งจะช่วยลดข้อพิพาทระหว่างทายาทและทำให้การโอนกรรมสิทธิ์มรดกเป็นไปอย่างราบรื่น นอกจากนี้ การรับมรดกอสังหาริมทรัพย์อาจเกี่ยวข้องกับ “ภาษีการรับมรดก” (Inheritance Tax) หากทายาทได้รับมรดกสุทธิ (รวมทุกประเภท) เกินกว่า 100 ล้านบาท หากมีข้อสงสัยในประเด็นใด สามารถติดต่อทนายวิรัชได้ที่ สายด่วน โทร 0812585681 หรือ add line @732hjgrx

ข้อพิพาทที่พบบ่อยและแนวทางป้องกัน

ความซับซ้อนของกฎหมายอสังหาริมทรัพย์มักนำไปสู่ข้อพิพาทหลายรูปแบบ การทราบถึงปัญหาที่พบบ่อยจะช่วยให้ท่านหาทางป้องกันได้

  1. การผิดสัญญาจะซื้อจะขาย: เช่น ผู้ขายไม่ยอมโอนเมื่อที่ดินราคาสูงขึ้น หรือผู้ซื้อไม่สามารถกู้เงินธนาคารได้ทันตามกำหนด การมีสัญญาที่รัดกุมและระบุเบี้ยปรับหรือการริบมัดจำที่ชัดเจน จะเป็นเครื่องมือในการเจรจาหรือดำเนินการทางกฎหมาย
  2. การรุกล้ำแนวเขต (Encroachment): ปัญหาที่ดินข้างเคียงสร้างรั้วหรือสิ่งปลูกสร้างล้ำเข้ามาในเขตที่ดินของเรา หรือในทางกลับกัน การทำ “การรังวัดสอบเขต” ที่ดินโดยเจ้าหน้าที่กรมที่ดินก่อนการซื้อหรือการก่อสร้าง จะช่วยป้องกันปัญหานี้ได้
  3. ผู้รับเหมาทิ้งงานหรือสร้างไม่ตรงแบบ: ในกรณีซื้อบ้านหรือจ้างสร้างบ้าน สัญญาว่าจ้างก่อสร้างที่มีรายละเอียดชัดเจน (BOQ) และมีการแบ่งงวดเงินที่เหมาะสมตามความคืบหน้าของงาน จะช่วยลดความเสี่ยงนี้ได้
  4. ปัญหากรรมสิทธิ์รวม (Co-ownership): เมื่ออสังหาริมทรัพย์มีเจ้าของหลายคน (เช่น รับมรดกมาร่วมกัน) การตัดสินใจทำนิติกรรมใดๆ (เช่น การขาย หรือการให้เช่า) ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของรวมทุกคน ซึ่งมักก่อให้เกิดปัญหาหากมีความเห็นไม่ตรงกัน การแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมหรือการทำข้อตกลงระหว่างผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมไว้ล่วงหน้าจึงเป็นสิ่งที่ควรพิจารณา หากมีข้อสงสัยในประเด็นใด สามารถติดต่อทนายวิรัชได้ที่ สายด่วน โทร 0812585681 หรือ add line @732hjgrx

บทสรุป: การเดินทางสายอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องมีการวางแผน

กฎหมายอสังหาริมทรัพย์เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทุกคน และมีความละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง การทำธุรกรรมใดๆ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ ขาย เช่า หรือรับมรดก ล้วนส่งผลกระทบโดยตรงต่อทรัพย์สินและสิทธิของท่าน การมีความรู้ความเข้าใจในหลักการกฎหมายเบื้องต้น การตรวจสอบเอกสารอย่างรอบคอบ และการจัดทำสัญญาที่รัดกุม ถือเป็นเกราะป้องกันปัญหาที่ดีที่สุด การดำเนินการในเรื่องสำคัญที่มีมูลค่าสูงเช่นนี้ การมีที่ปรึกษาด้านกฎหมายเพื่อช่วยตรวจสอบและให้คำแนะนำในขั้นตอนต่างๆ จึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เพื่อให้การทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ของท่าน “ไม่สะดุด” และนำมาซึ่งความมั่นคงดังที่ท่านตั้งใจไว้ หากมีข้อสงสัยในประเด็นใด สามารถติดต่อทนายวิรัชได้ที่ สายด่วน โทร 0812585681 หรือ add line @732hjgrx

🏠 หัวข้อบทความ: สิ่งที่เจ้าของและผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ต้องรู้: กฎหมายที่ควรรู้ก่อนทำสัญญา

บทนำ: ทำไมกฎหมายอสังหาริมทรัพย์ถึงสำคัญ?

ในยุคที่การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้น ผู้คนจำนวนมากเลือกลงทุนหรืออยู่อาศัยในบ้าน คอนโด หรือที่ดิน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เข้าใจกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างถ่องแท้ การละเลยในส่วนนี้อาจนำไปสู่ปัญหาทางกฎหมาย การถูกหลอก หรือข้อพิพาทที่ยืดเยื้อ

บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกเรื่อง “กฎหมายอสังหาริมทรัพย์” ที่คุณควรรู้ก่อนตัดสินใจทำธุรกรรมใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ ขาย เช่า หรือโอนกรรมสิทธิ์


1. ความหมายของอสังหาริมทรัพย์ตามกฎหมายไทย

อสังหาริมทรัพย์ หมายถึง ทรัพย์ที่เคลื่อนที่ไม่ได้ เช่น:

  • ที่ดิน
  • บ้านพักอาศัย
  • อาคารพาณิชย์
  • คอนโดมิเนียม
  • อาคารอื่น ๆ ที่ยึดติดกับพื้นดิน

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 139 ระบุว่า อสังหาริมทรัพย์ถือเป็นทรัพย์ที่มีข้อกำหนดเฉพาะในการซื้อขายและโอนกรรมสิทธิ์ ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนกับสำนักงานที่ดิน


2. ขั้นตอนการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์

🧾 ขั้นตอนหลัก:

  1. การตรวจสอบโฉนด
    ตรวจสอบว่ามีชื่อเจ้าของกรรมสิทธิ์ตรงกับผู้ขายหรือไม่ มีภาระผูกพัน (เช่น จำนอง) หรือไม่
  2. การทำสัญญาจะซื้อจะขาย
    กำหนดรายละเอียดทรัพย์ เงื่อนไขการชำระเงิน และระยะเวลาโอนกรรมสิทธิ์
  3. การโอนกรรมสิทธิ์
    ไปที่สำนักงานที่ดินพร้อมผู้ซื้อและผู้ขาย จ่ายค่าธรรมเนียมและภาษีที่เกี่ยวข้อง
  4. การเสียภาษี
    เช่น ภาษีธุรกิจเฉพาะ อากรแสตมป์ ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย

3. สัญญาจะซื้อจะขาย: สิ่งที่ไม่ควรมองข้าม

สิ่งที่ควรมีในสัญญา:

  • รายละเอียดผู้ซื้อ/ผู้ขาย
  • รายละเอียดอสังหาริมทรัพย์
  • ราคาซื้อขาย เงื่อนไขการชำระเงิน
  • เงื่อนไขกรณีผิดสัญญา เช่น การยึดเงินมัดจำ
  • กำหนดวันที่โอนกรรมสิทธิ์
  • ความรับผิดชอบในการจ่ายภาษีและค่าใช้จ่าย

ข้อควรระวัง:

  • ห้ามลงนามโดยไม่อ่านหรือเข้าใจเงื่อนไข
  • ไม่ควรใช้สัญญาสำเร็จรูปที่ไม่ได้ตรวจสอบโดยผู้มีความรู้ทางกฎหมาย

4. สิทธิของผู้ซื้อและผู้ขาย

📌 สิทธิของผู้ซื้อ:

  • ได้รับทรัพย์ตามที่ตกลงไว้
  • ขอคืนเงินหากผู้ขายปกปิดข้อเท็จจริงสำคัญ
  • โอนกรรมสิทธิ์ในเวลาที่กำหนด

📌 สิทธิของผู้ขาย:

  • ได้รับเงินตามเงื่อนไข
  • เรียกค่าเสียหายหากผู้ซื้อผิดนัด
  • ปกป้องทรัพย์จากการครอบครองโดยมิชอบ

5. คอนโดมิเนียม: กฎหมายเฉพาะที่ต้องรู้

📘 พ.ร.บ. อาคารชุด พ.ศ. 2522

ประเด็นสำคัญ:

  • ต้องมีเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์เป็น “หนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ห้องชุด”
  • มีสิทธิในทรัพย์ส่วนกลาง เช่น ลิฟต์ ที่จอดรถ สระว่ายน้ำ
  • ต้องร่วมจ่ายค่าส่วนกลางตามมติของนิติบุคคล

6. ที่ดิน: ตรวจสอบและโอนกรรมสิทธิ์อย่างไรให้ปลอดภัย

📍 ประเภทของเอกสารสิทธิในที่ดิน:

  • โฉนด (น.ส.4): มีกรรมสิทธิ์เต็ม
  • น.ส.3/น.ส.3ก: มีสิทธิครอบครอง ยังไม่ใช่โฉนด
  • ส.ป.ก.: ห้ามซื้อขายโดยทั่วไป เป็นที่ดินเพื่อเกษตรกรรม

✅ ขั้นตอนโอนกรรมสิทธิ์:

  1. ตรวจสอบโฉนดที่ดิน
  2. ทำสัญญาซื้อขาย
  3. นัดโอนที่สำนักงานที่ดิน
  4. ชำระค่าธรรมเนียมและภาษี

7. การเช่าอสังหาริมทรัพย์: สิ่งที่ผู้ให้เช่าและผู้เช่าควรรู้

🏢 กฎหมายเกี่ยวกับการเช่า:

  • ตาม ป.พ.พ. มาตรา 537-571
  • การเช่าที่ดิน/อาคาร เกิน 3 ปี ต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่

📌 ข้อควรมีในสัญญาเช่า:

  • ระยะเวลาเช่า
  • ค่าเช่า และการปรับขึ้น
  • เงินประกัน
  • สิทธิในการต่อสัญญา
  • การบอกเลิกสัญญา

8. ภาษีที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์

💰 รายการภาษีที่ควรทราบ:

รายการผู้รับผิดชอบอัตราโดยประมาณ
ค่าธรรมเนียมโอนผู้ซื้อ/ตกลงกัน2% ของราคาประเมิน
ภาษีธุรกิจเฉพาะผู้ขาย3.3% ของราคาประเมิน
อากรแสตมป์ผู้ขาย0.5% (ถ้าไม่เสียภาษีธุรกิจเฉพาะ)
ภาษีเงินได้ผู้ขายคำนวณแบบขั้นบันได

9. ข้อพิพาทที่พบบ่อยในอสังหาริมทรัพย์

  • ผู้ขายไม่ยอมโอนกรรมสิทธิ์
  • ซื้อขายโดยไม่มีการตรวจสอบโฉนด
  • ปัญหาการรุกล้ำแนวเขต
  • ข้อพิพาทเรื่องสัญญาจะซื้อจะขายไม่เป็นธรรม

🔎 แนวทางป้องกัน:

  • ตรวจสอบเอกสารให้ครบถ้วน
  • ใช้บริการพยานและผู้จัดทำสัญญาที่มีความรู้
  • ขอคำแนะนำทางกฎหมายก่อนลงนามในเอกสารใด ๆ

10. ทำไมควรมีผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายร่วมในการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์

แม้ว่าจะมีแบบฟอร์มสัญญาให้ดาวน์โหลดได้ทั่วไป แต่อสังหาริมทรัพย์แต่ละกรณีมีเงื่อนไขเฉพาะ การมีผู้ช่วยที่เข้าใจข้อกฎหมายสามารถช่วยให้ธุรกรรมดำเนินการได้อย่างราบรื่น ลดความเสี่ยง และป้องกันการเสียเปรียบ


สรุป: กฎหมายอสังหาริมทรัพย์ไม่ใช่เรื่องไกลตัว

ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ซื้อ ผู้ขาย หรือผู้เช่า อสังหาริมทรัพย์ กฎหมายที่เกี่ยวข้องมีบทบาทสำคัญในการคุ้มครองสิทธิและลดความเสี่ยง หากคุณต้องการทำธุรกรรมใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับที่ดิน บ้าน หรือคอนโด อย่าลืมตรวจสอบข้อกฎหมายและขอคำแนะนำจากผู้ที่มีประสบการณ์


📞 ติดต่อเพื่อปรึกษากฎหมายอสังหาริมทรัพย์

หากคุณต้องการคำแนะนำด้านกฎหมายอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ทั้งเรื่องการซื้อขาย โอนกรรมสิทธิ์ สัญญา หรือข้อพิพาทต่าง ๆ

สามารถติดต่อทนายวิรัชได้ที่
สายด่วน โทร 0812585681 หรือ add line @732hjgrx

รู้ทันกฎหมายอสังหาริมทรัพย์ ก่อนซื้อขาย ไม่เสี่ยงโดนโกง

บทนำ: ทำไมกฎหมายอสังหาริมทรัพย์จึงสำคัญ?
อสังหาริมทรัพย์ไม่ใช่เพียงทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูง แต่ยังเป็นสิทธิทางกฎหมายที่ต้องมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง หากคุณกำลังจะซื้อบ้าน ขายที่ดิน หรือทำสัญญาเช่า ทราบหรือไม่ว่าการดำเนินการใดผิดพลาดเพียงเล็กน้อย อาจนำไปสู่การเสียทรัพย์หรือเสียสิทธิ์ได้ บทความนี้จึงจะช่วยให้คุณรู้จักกับ “กฎหมายอสังหาริมทรัพย์” ในมิติที่เข้าใจง่ายและใช้ได้จริง

  1. กฎหมายอสังหาริมทรัพย์คืออะไร?
    กฎหมายอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Law) คือ ข้อกำหนดทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ เช่น ที่ดิน บ้าน คอนโด อาคารพาณิชย์ ฯลฯ ซึ่งกฎหมายนี้ครอบคลุมเรื่องต่าง ๆ เช่น

การซื้อขาย

การเช่าและให้เช่า

การจำนอง

การโอนกรรมสิทธิ์

ข้อพิพาทเรื่องแนวเขต หรือสิทธิในที่ดิน

  1. ประเภทของอสังหาริมทรัพย์ในไทย
    ประเภทอสังหาริมทรัพย์ รายละเอียด
    ที่ดิน ทรัพย์สินหลักที่สามารถครอบครองและโอนกรรมสิทธิ์ได้
    บ้านเดี่ยว/บ้านแฝด ทรัพย์พร้อมสิ่งปลูกสร้าง มีกรรมสิทธิ์ทั้งที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
    อาคารชุด (คอนโด) ครอบครองเฉพาะยูนิต และมีกรรมสิทธิ์ร่วมในพื้นที่ส่วนกลาง
    อาคารพาณิชย์ เหมาะสำหรับการทำธุรกิจ ร่วมกับที่อยู่อาศัย
  2. ขั้นตอนการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย
    การตรวจสอบโฉนด

ต้องเป็นเอกสารสิทธิประเภท โฉนดที่ดิน (น.ส.4) ไม่ใช่ ส.ป.ก. หรือ น.ส.3 ที่โอนกรรมสิทธิ์ไม่ได้ง่าย

ทำสัญญาจะซื้อจะขาย

ระบุราคาชัดเจน กำหนดวันโอน ชำระมัดจำ และเงื่อนไขการบอกเลิก

โอนกรรมสิทธิ์ที่กรมที่ดิน

ผู้ซื้อ-ผู้ขายไปดำเนินการพร้อมกัน ต้องมีบัตรประชาชน โฉนดที่ดิน และใบเสร็จชำระภาษี

ชำระค่าธรรมเนียมและภาษี

ค่าธรรมเนียมโอน 2%

ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

ภาษีธุรกิจเฉพาะ (ถ้ามี)

  1. สิทธิของผู้ซื้อและผู้ขาย
    ผู้ซื้อมีสิทธิ ผู้ขายมีหน้าที่
    ตรวจสอบเอกสารและทรัพย์สินก่อนตัดสินใจ เปิดเผยข้อมูลทรัพย์ให้ตรงตามจริง
    ขอจดจำนองกับธนาคารก่อนโอนกรรมสิทธิ์ ชำระภาษีหรือหนี้สินที่ติดทรัพย์ก่อนโอน
    เลือกทนายเพื่อดูแลสัญญาให้ถูกต้อง ส่งมอบทรัพย์ตามสัญญาโดยไม่มีข้อบกพร่อง
  2. ความสำคัญของทนายความในธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์
    ในธุรกรรมที่มีมูลค่าสูง เช่น การซื้อขายบ้านหรือที่ดิน ทนายความสามารถช่วยคุณ:

ตรวจสอบเอกสารสิทธิ

วิเคราะห์เงื่อนไขในสัญญา

ป้องกันการถูกฉ้อโกง

เป็นตัวกลางในการเจรจา

ให้คำแนะนำเรื่องภาษีและค่าธรรมเนียม

  1. สัญญาที่ควรมีในการทำธุรกรรม
    สัญญาจะซื้อจะขาย (Pre-sale Agreement)

สัญญาซื้อขาย (Sale Agreement)

สัญญาเช่า (Lease Agreement)

หนังสือมอบอำนาจ (Power of Attorney) หากมีคนดำเนินการแทน

  1. ข้อควรระวังก่อนซื้ออสังหาริมทรัพย์
    ตรวจสอบประวัติของเจ้าของเดิม

เช็กหนี้ค้างภาษีหรือหนี้ธนาคาร

หลีกเลี่ยงที่ดินที่ติดภาระผูกพัน

พิจารณาทำเล และผังเมือง

หลีกเลี่ยงการจ่ายเงินสดล่วงหน้าโดยไม่มีเอกสารยืนยัน

  1. กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์
    ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

พระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน

กฎหมายผังเมือง

กฎหมายภาษีธุรกิจเฉพาะ

  1. อสังหาริมทรัพย์และคนต่างชาติ
    คนต่างชาติสามารถเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ได้ ในรูปแบบคอนโดมิเนียมเท่านั้น โดยมีข้อจำกัดดังนี้:

ครอบครองได้ไม่เกิน 49% ของพื้นที่รวมทั้งโครงการ

ต้องมีเงินตราต่างประเทศเข้าประเทศเท่านั้นในการซื้อ

  1. การโอนกรรมสิทธิ์ในครอบครัว (ยกให้-มรดก)
    การโอนกรรมสิทธิ์จากพ่อแม่ไปยังลูกหลานสามารถทำได้ผ่าน:

การยกให้ (โอนโดยเสน่หา): มีค่าธรรมเนียมต่ำกว่าปกติ

การรับมรดก: ต้องมีพินัยกรรม หรือผ่านศาลหากไม่มี

  1. ภาษีและค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง
    รายการ อัตราโดยประมาณ
    ค่าธรรมเนียมการโอน 2% ของราคาประเมิน
    ภาษีธุรกิจเฉพาะ 3.3% หากขายภายใน 5 ปี
    ภาษีเงินได้ คิดตามขั้นบันไดรายได้
    อากรแสตมป์ 0.5%
  2. กรณีพิพาทที่พบบ่อย
    ซื้อที่ดินโดยไม่มีสิทธิโอน

สัญญาไม่เป็นธรรม

ผู้ขายไม่โอนกรรมสิทธิ์ตามกำหนด

เพื่อนบ้านฟ้องกรณีแนวเขต

  1. วิธีป้องกันปัญหา: ใช้บริการทนายความอสังหาริมทรัพย์
    หากคุณต้องการความมั่นใจในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การตรวจโฉนด ทำสัญญา ไปจนถึงการโอนที่ดินอย่างถูกต้อง การใช้บริการของทนายความคือสิ่งที่แนะนำอย่างยิ่ง โดยคุณสามารถติดต่อทนายเพื่อปรึกษาหรือดำเนินการแทนได้
  2. ติดต่อทนายความเพื่อขอคำปรึกษา
    หากคุณกำลังจะซื้อ ขาย หรือจัดการเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ และต้องการคำปรึกษาที่ไว้ใจได้

📞 สายด่วน: โทร 081-258-5681
📱 LINE: @732hjgrx

สรุป
การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ไม่ใช่เรื่องง่ายและมีความเสี่ยงสูง การเข้าใจกฎหมายเบื้องต้น และการมีผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายคอยดูแลในทุกขั้นตอน จะช่วยให้คุณไม่ต้องเสียใจภายหลัง พร้อมปกป้องสิทธิของคุณได้อย่างแท้จริง