คู่มือฉบับสมบูรณ์: กฎหมายภาษีไทย เรื่องที่คนทำธุรกิจและบุคคลธรรมดาต้องรับมืออย่างเข้าใจ

(H1) คู่มือฉบับสมบูรณ์: กฎหมายภาษีไทย เรื่องที่คนทำธุรกิจและบุคคลธรรมดาต้องรับมืออย่างเข้าใจ

(Introduction)

“ภาษี” เป็นคำที่ผูกพันกับชีวิตของคนไทยทุกคน ไม่ว่าคุณจะเป็นพนักงานประจำ, ผู้ประกอบอาชีพอิสระ (ฟรีแลนซ์), หรือเจ้าของกิจการ การปฏิบัติตามกฎหมายภาษีไม่ใช่เพียงแค่ “ทางเลือก” แต่เป็น “หน้าที่” ตามกฎหมายที่ทุกคนที่มีรายได้ต้องปฏิบัติตาม อย่างไรก็ตาม ความซับซ้อนของประมวลรัษฎากร (The Revenue Code) ซึ่งเป็นกฎหมายหลักที่ควบคุมการจัดเก็บภาษีอากรของไทย มักสร้างความสับสนและนำไปสู่การปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางการเงินและทางกฎหมายอย่างรุนแรงตามมา

หลายคนอาจมองว่าภาษีเป็นเรื่องไกลตัว หรือเป็นเพียงการ “จ่าย” เมื่อถึงกำหนด แต่ในความเป็นจริง กฎหมายภาษีมีความเชื่อมโยงกับการตัดสินใจในชีวิตประจำวันและการดำเนินธุรกิจในทุกแง่มุม ตั้งแต่การรับเงินเดือน การซื้อขายสินค้า การลงทุน ไปจนถึงการวางแผนมรดก

บทความนี้จะทำหน้าที่เป็นแผนที่นำทาง ช่วยให้คุณสำรวจภูมิทัศน์ที่ซับซ้อนของกฎหมายภาษีไทย โดยจะเจาะลึกถึงประเภทของภาษีหลักที่เกี่ยวข้องกับบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล, สิทธิและหน้าที่ของผู้เสียภาษี, กระบวนการที่เกิดขึ้นเมื่อถูกประเมินภาษี และความสำคัญของการวางแผนภาษีอย่างถูกต้อง เพื่อให้คุณสามารถบริหารจัดการภาระหน้าที่นี้ได้อย่างมั่นใจและลดความเสี่ยงทางกฎหมายที่อาจเกิดขึ้น


(H2) รากฐานของกฎหมายภาษี: ทำไมเราต้องเสียภาษี และกรมสรรพากรมีบทบาทอย่างไร?

การเสียภาษีเป็นหน้าที่ของพลเมืองตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อนำรายได้ไปใช้ในการพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ เช่น การสร้างโครงสร้างพื้นฐาน (ถนน, โรงพยาบาล, โรงเรียน), การให้บริการสาธารณะ, และการรักษาความมั่นคง

หน่วยงานหลักที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดเก็บภาษีตามประมวลรัษฎากรคือ กรมสรรพากร (The Revenue Department) กรมสรรพากรมีอำนาจหน้าที่ในการประเมินและจัดเก็บภาษีหลายประเภทที่เราคุ้นเคยกันดี เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา, ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีมูลค่าเพิ่ม

(H3) ความสำคัญของการปฏิบัติตามกฎหมายภาษี: ผลที่ตามมาเมื่อละเลย

การทำความเข้าใจกฎหมายภาษีมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะการเพิกเฉยหรือความเข้าใจผิดอาจนำไปสู่ผลกระทบที่รุนแรง กฎหมายได้กำหนดบทลงโทษที่ชัดเจนสำหรับผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ทางภาษี ซึ่งโดยทั่วไปแบ่งได้ดังนี้:

  1. เบี้ยปรับ (Penalty): เป็นเงินที่ต้องชำระเพิ่มเติมนอกเหนือจากค่าภาษีที่ขาดไป มักคิดเป็นอัตราร้อยละของจำนวนภาษีที่ชำระขาดหรือยื่นแบบไม่ถูกต้อง เช่น การยื่นแบบล่าช้า หรือการยื่นรายการไม่ครบถ้วน อาจมีเบี้ยปรับ 1 ถึง 2 เท่าของภาษีที่ต้องชำระ
  2. เงินเพิ่ม (Surcharge): เปรียบเสมือน “ดอกเบี้ย” ที่คิดจากการชำระภาษีล่าช้ากว่ากำหนด โดยทั่วไปคิดในอัตรา 1.5% ต่อเดือน หรือเศษของเดือน ของจำนวนภาษีที่ต้องชำระ โดยไม่คำนึงว่าความล่าช้านั้นเกิดจากเจตนาหรือไม่
  3. โทษทางอาญา (Criminal Liability): ในกรณีที่มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีอย่างชัดเจน เช่น การแจ้งข้อความเท็จ, การปลอมแปลงเอกสาร, หรือการไม่ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อหนีภาษี กฎหมายได้กำหนดโทษทางอาญาไว้ ซึ่งอาจรวมถึงโทษจำคุก

การตระหนักถึงผลกระทบเหล่านี้เป็นก้าวแรกที่สำคัญในการสร้างทัศนคติที่ถูกต้องต่อการจัดการภาษี


(H2) ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (Personal Income Tax): ทุกย่างก้าวของรายได้

ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.) เป็นภาษีทางตรงที่จัดเก็บจากบุคคลที่มีรายได้เกิดขึ้นในระหว่างปีปฏิทิน (1 มกราคม – 31 ธันวาคม)

(H3) ใครบ้างที่มีหน้าที่ยื่นภาษีบุคคลธรรมดา?

ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ไม่ได้จำกัดแค่คนไทย แต่รวมถึง:

  • บุคคลธรรมดา: ทั้งสัญชาติไทยและต่างด้าว
  • ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล: แม้จะจัดตั้งในรูปแบบกลุ่ม แต่การเสียภาษียังคงอยู่ในฐานะบุคคลธรรมดา
  • กองมรดกที่ยังมิได้แบ่ง: ในระหว่างที่รอการแบ่งมรดก หากกองมรดกนั้นมีรายได้เกิดขึ้น ก็ต้องยื่นภาษีในนามของกองมรดก

ประเด็นสำคัญคือ “แหล่งเงินได้” และ “ถิ่นที่อยู่” หากคุณมีเงินได้เกิดขึ้นในประเทศไทย ไม่ว่าคุณจะอาศัยอยู่ที่ไหน คุณมีหน้าที่ต้องเสียภาษีจากเงินได้นั้น และหากคุณอาศัยอยู่ในประเทศไทยครบ 180 วันในปีภาษีใด (ไม่ว่าจะต่อเนื่องหรือไม่) คุณจะถือเป็น “ผู้อยู่ในประเทศไทย” และมีหน้าที่ต้องนำเงินได้ที่เกิดขึ้นในต่างประเทศและนำเข้ามาในปีนั้นมารวมคำนวณภาษีด้วย

(H3) เจาะลึก “เงินได้พึงประเมิน” 8 ประเภท (มาตรา 40(1) ถึง 40(8))

กฎหมายภาษีไทยได้แบ่งประเภทของเงินได้ออกเป็น 8 ประเภท ซึ่งแต่ละประเภทมีวิธีการหักค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกัน:

  1. 40(1) เงินได้จากกการจ้างแรงงาน: เช่น เงินเดือน, ค่าจ้าง, โบนัส, OT (สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 50% แต่ไม่เกิน 100,000 บาท)
  2. 40(2) เงินได้จากหน้าที่หรือตำแหน่งงาน หรือจากการรับทำงานให้: เช่น ค่านายหน้า, ค่าคอมมิชชั่น, เบี้ยประชุม (หักค่าใช้จ่ายได้ 50% แต่ไม่เกิน 100,000 บาท) ข้อสังเกต: เงินได้ 40(1) และ 40(2) เมื่อรวมกันแล้ว หักค่าใช้จ่ายได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท
  3. 40(3) ค่าแห่งกู๊ดวิลล์ (Goodwill), ค่าลิขสิทธิ์: เช่น รายได้จากการเขียนหนังสือ, ค่าสิทธิต่างๆ (หักค่าใช้จ่ายได้ 50% แต่ไม่เกิน 100,000 บาท หรือหักตามจริง)
  4. 40(4) เงินได้จากการลงทุน: เช่น ดอกเบี้ย (พันธบัตร, หุ้นกู้), เงินปันผล, ผลประโยชน์จากการโอนหุ้น (บางประเภทสามารถเลือกเสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย 10% หรือ 15% โดยไม่ต้องนำมารวมคำนวณปลายปี (Final Tax) หรือเลือกนำมารวมก็ได้)
  5. 40(5) เงินได้จากการให้เช่าทรัพย์สิน: เช่น ค่าเช่าบ้าน, ค่าเช่ารถ (สามารถหักแบบเหมา 10% – 30% ขึ้นอยู่กับประเภททรัพย์สิน หรือหักตามจริง)
  6. 40(6) เงินได้จากวิชาชีพอิสระ: เช่น กฎหมาย, การประกอบโรคศิลปะ (แพทย์), วิศวกรรม, สถาปัตยกรรม, การบัญชี, ประณีตศิลปกรรม (หักค่าใช้จ่ายเหมาได้ 30% หรือ 60% แล้วแต่กรณี หรือหักตามจริง)
  7. 40(7) เงินได้จากการรับเหมาที่ผู้รับเหมาต้องลงทุน: เช่น การรับเหมาก่อสร้าง (หักค่าใช้จ่ายเหมา 60% หรือหักตามจริง)
  8. 40(8) เงินได้อื่น ๆ นอกเหนือจาก 40(1)-(7): เป็นกลุ่มที่กว้างที่สุด เช่น รายได้จากการเกษตร, การขายของออนไลน์, รายได้ของนักแสดง, Youtuber, Influencer (หักค่าใช้จ่ายเหมาได้ 40% หรือ 60% แล้วแต่ประเภท หรือหักตามจริง)

การระบุประเภทเงินได้ที่ถูกต้องเป็นหัวใจสำคัญ เพราะมีผลโดยตรงต่อการหักค่าใช้จ่ายและการคำนวณภาษี

(H3) การคำนวณภาษี: สูตร และ ค่าลดหย่อน (Deductions)

สูตรพื้นฐานในการคำนวณภาษีคือ: (เงินได้พึงประเมิน - ค่าใช้จ่าย) = เงินได้สุทธิก่อนหักค่าลดหย่อน (เงินได้สุทธิก่อนหักค่าลดหย่อน - ค่าลดหย่อน) = เงินได้สุทธิ (เงินได้สุทธิ x อัตราภาษี) = ภาษีที่ต้องชำระ

“ค่าลดหย่อน” คือสิทธิประโยชน์ที่กฎหมายอนุญาตให้หักออกจากเงินได้เพื่อลดภาระภาษี รายการลดหย่อนที่พบบ่อย ได้แก่:

  • ค่าลดหย่อนส่วนตัว (60,000 บาท)
  • ค่าลดหย่อนคู่สมรส (ที่ไม่มีเงินได้)
  • ค่าลดหย่อนบุตร
  • ค่าลดหย่อนบิดามารดา
  • เบี้ยประกันชีวิต, ประกันสุขภาพ
  • กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF), กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF)
  • เงินบริจาค (เช่น บริจาคเพื่อการศึกษา, โรงพยาบาล, หรือพรรคการเมือง)

การวางแผนภาษีส่วนบุคคล (Personal Tax Planning) ที่ดี คือการใช้สิทธิลดหย่อนเหล่านี้อย่างเต็มที่และถูกต้องตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด

(H3) การยื่นแบบแสดงรายการภาษี: ภ.ง.ด. 90, 91 และ 94

  • ภ.ง.ด. 91: สำหรับผู้ที่มีเงินได้ประเภท 40(1) (เงินเดือน) เพียงอย่างเดียว ยื่นปีละ 1 ครั้ง ภายใน 31 มีนาคมของปีถัดไป
  • ภ.ง.ด. 90: สำหรับผู้ที่มีเงินได้ประเภทอื่น ๆ (40(2) ถึง 40(8)) หรือมี 40(1) ร่วมกับประเภทอื่น ยื่นปีละ 1 ครั้ง ภายใน 31 มีนาคมของปีถัดไป
  • ภ.ง.ด. 94: สำหรับผู้ที่มีเงินได้ประเภท 40(5) ถึง 40(8) (เช่น ค่าเช่า, ขายของ) ต้องยื่นภาษี “ครึ่งปี” ภายใน 30 กันยายนของปีนั้นๆ เพื่อเป็นการทยอยชำระภาษี โดยภาษีที่จ่ายไปใน ภ.ง.ด. 94 สามารถนำไปเครดิต (หักออก) จากภาษีที่ต้องชำระตอนยื่น ภ.ง.ด. 90 ปลายปีได้

(H2) ภาษีสำหรับผู้ประกอบการ: การนำทางธุรกิจในโลกของกฎหมายภาษี

เมื่อคุณก้าวจากการเป็นบุคคลธรรมดามาสู่การเป็นผู้ประกอบการ ภาระหน้าที่ทางภาษีจะมีความซับซ้อนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ภาษีหลักที่ธุรกิจต้องเกี่ยวข้อง ได้แก่:

(H3) ภาษีเงินได้นิติบุคคล (Corporate Income Tax – CIT)

หากคุณดำเนินธุรกิจในรูปแบบของ “บริษัทจำกัด” หรือ “ห้างหุ้นส่วนจำกัด” ธุรกิจของคุณจะมีสถานะเป็น “นิติบุคคล” แยกต่างหากจากตัวคุณ รายได้ของธุรกิจจะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล

  • ฐานการคำนวณ: ภาษีนิติบุคคลคำนวณจาก “กำไรสุทธิ” ทางบัญชีที่ปรับปรุงตามเงื่อนไขทางภาษี (ไม่ใช่จากยอดขาย)
  • อัตราภาษี: อัตราทั่วไปคือ 20% ของกำไรสุทธิ
  • สิทธิประโยชน์สำหรับ SMEs: กฎหมายมักมีมาตรการสนับสนุนธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) โดยกำหนดอัตราภาษีแบบขั้นบันไดที่ต่ำกว่า เช่น ยกเว้นภาษีสำหรับกำไรส่วนแรก และใช้อัตรา 15% ในส่วนที่เกิน (เงื่อนไขอาจเปลี่ยนแปลงตามนโยบายรัฐ)
  • การยื่นแบบ: นิติบุคคลต้องยื่นภาษี 2 ครั้งต่อปี
    • ภ.ง.ด. 51: การยื่น “ครึ่งปี” (รอบ 6 เดือนแรก) โดยต้องประมาณการกำไรสุทธิของทั้งปี และชำระภาษีกึ่งหนึ่ง
    • ภ.ง.ด. 50: การยื่น “สิ้นปี” (รอบ 12 เดือน) เพื่อสรุปกำไรขาดทุนที่แท้จริง และชำระภาษีส่วนที่เหลือ (หากมี) ภายใน 150 วันนับแต่วันสิ้นรอบบัญชี

(H3) ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax – VAT)

VAT เป็นภาษีทางอ้อมที่จัดเก็บจากผู้บริโภคคนสุดท้าย โดยผู้ประกอบการมีหน้าที่ “เก็บ” และ “นำส่ง” ให้กรมสรรพากร

  • ใครต้องจด VAT?: ผู้ประกอบการที่มีรายได้จากการขายสินค้าหรือให้บริการ (ที่ไม่อยู่ในข่ายยกเว้น VAT) เกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี มีหน้าที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม
  • อัตราภาษี: ปัจจุบันอยู่ที่ 7%
  • กลไกการทำงาน (ภาษีซื้อ – ภาษีขาย):
    • ภาษีขาย (Output Tax): คือ VAT 7% ที่ผู้ประกอบการเรียกเก็บจากลูกค้าเมื่อขายสินค้าหรือบริการ
    • ภาษีซื้อ (Input Tax): คือ VAT 7% ที่ผู้ประกอบการจ่ายไปเมื่อซื้อสินค้าหรือวัตถุดิบมาเพื่อใช้ในกิจการ
  • การนำส่งภาษี: ในแต่ละเดือน ผู้ประกอบการจะคำนวณ (ภาษีขาย - ภาษีซื้อ)
    • ถ้า ภาษีขาย > ภาษีซื้อ: ต้องนำส่งส่วนต่างให้กรมสรรพากร
    • ถ้า ภาษีซื้อ > ภาษีขาย: สามารถขอคืนส่วนต่าง (เป็นเงินสดหรือเครดิต) ได้
  • การยื่นแบบ: ผู้ประกอบการที่จด VAT ต้องยื่นแบบ ภ.พ. 30 เป็นประจำทุกเดือน ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป (แม้ว่าเดือนนั้นจะไม่มีธุรกรรมก็ตาม)

ความท้าทายของ VAT คือการจัดการเอกสาร “ใบกำกับภาษี” (Tax Invoice) ทั้งฝั่งซื้อและฝั่งขายให้ถูกต้องครบถ้วน เพราะเป็นเอกสารสำคัญที่ใช้ในการคำนวณภาษี

(H3) ภาษีธุรกิจเฉพาะ (Specific Business Tax – SBT)

เป็นภาษีที่จัดเก็บจากธุรกิจบางประเภทที่กฎหมายกำหนดไว้เป็นการเฉพาะ ซึ่งมักจะเป็นธุรกิจที่ยากต่อการคำนวณมูลค่าเพิ่ม (VAT) เช่น:

  • การธนาคาร, การเงิน, หลักทรัพย์
  • ธุรกิจประกันชีวิต
  • การรับจำนำ
  • การขายอสังหาริมทรัพย์ “ที่มุ่งค้าหรือหากำไร”

ธุรกิจที่เสียภาษีธุรกิจเฉพาะแล้ว จะไม่ต้องเสีย VAT ซ้ำซ้อนอีก

(H3) ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (Withholding Tax – WHT)

นี่คือระบบที่สร้างความสับสนมากที่สุด แต่มีความสำคัญอย่างยิ่ง WHT ไม่ใช่ภาษีประเภทใหม่ แต่เป็น “วิธีการ” นำส่งภาษีล่วงหน้า

  • แนวคิด: กฎหมายกำหนดให้ “ผู้จ่ายเงิน” (ที่เป็นนิติบุคคล) มีหน้าที่ “หัก” ภาษีบางส่วนไว้ ก่อนที่จะจ่ายเงินให้กับ “ผู้รับเงิน” และนำเงินส่วนที่หักไว้นั้นส่งให้กรมสรรพากร
  • วัตถุประสงค์: เพื่อให้รัฐมีรายได้ภาษีเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ และเพื่อเป็นการการันตีว่าผู้รับเงินจะถูกจัดเก็บภาษีไปแล้วส่วนหนึ่ง
  • อัตราที่พบบ่อย:
    • 1%: ค่าขนส่ง
    • 2%: ค่าโฆษณา
    • 3%: ค่าบริการ, ค่าจ้างทำของ, ค่าวิชาชีพอิสระ
    • 5%: ค่าเช่า
  • หน้าที่ของผู้หัก: เมื่อหักภาษีแล้ว ต้องออก “หนังสือรับรองการหัก ณ ที่จ่าย” (ใบ 50 ทวิ) ให้แก่ผู้รับเงิน และยื่นแบบนำส่ง (เช่น ภ.ง.ด. 3, ภ.ง.ด. 53) ภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป
  • สิทธิของผู้ถูกหัก: ภาษีที่ถูกหักไป ถือเป็น “เครดิตภาษี” สามารถนำไปหักออกจากภาษีที่ต้องชำระตอนสิ้นปีได้ (ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล)

(H2) เมื่อกรมสรรพากรทักทาย: กระบวนการตรวจสอบและอุทธรณ์ภาษี

การดำเนินธุรกิจหรือการมีรายได้ อาจนำไปสู่การตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่สรรพากร นี่คือกระบวนการปกติที่เกิดขึ้นได้ และกฎหมายได้ให้สิทธิผู้เสียภาษีในการโต้แย้งหากไม่เห็นด้วย

(H3) “หมายเรียก” และ “หนังสือแจ้งการประเมิน”

หากกรมสรรพากรตรวจพบว่าคุณยื่นภาษีไม่ถูกต้อง หรือมีข้อสงสัยในข้อมูล (เช่น จากการตรวจสอบระบบ Data Analytics) เจ้าหน้าที่จะดำเนินการ:

  1. หมายเรียก (Summons): เป็นการเรียกให้ผู้เสียภาษีไปพบ หรือส่งเอกสาร/หลักฐานไปให้ตรวจสอบ (เช่น สมุดบัญชี, ใบกำกับภาษี, สัญญาต่างๆ)
  2. การประเมินภาษี (Tax Assessment): หลังจากตรวจสอบแล้ว หากเจ้าหน้าที่พบว่าคุณต้องชำระภาษีเพิ่ม (รวมถึงเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม) จะมีการออก “หนังสือแจ้งการประเมินภาษี” มาให้

(H3) สิทธิในการอุทธรณ์: เมื่อไม่เห็นด้วยกับการประเมิน

หากคุณได้รับหนังสือแจ้งการประเมินแล้ว และคุณไม่เห็นด้วยกับจำนวนเงินหรือเหตุผลในการประเมิน คุณมีสิทธิอุทธรณ์

  1. ยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์: คุณต้องยื่นอุทธรณ์เป็นลายลักษณ์อักษร (โดยใช้แบบ ภ.ส.6) ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งการประเมิน นี่คือกรอบเวลาที่สำคัญอย่างยิ่ง หากยื่นช้ากว่านี้ จะหมดสิทธิอุทธรณ์ทันที
  2. กระบวนการพิจารณา: คณะกรรมการฯ จะพิจารณาจากเอกสารหลักฐานและข้อโต้แย้งของคุณเทียบกับข้อมูลของเจ้าหน้าที่สรรพากร และจะมีคำวินิจฉัยออกมา
  3. การทุเลาการชำระภาษี: ในระหว่างที่รอคำวินิจฉัยอุทธรณ์ คุณมีสิทธิยื่นคำร้องขอ “ทุเลาการชำระภาษี” เพื่อชะลอการจ่ายเงินตามที่ถูกประเมินไว้ก่อนได้ (ซึ่งอาจต้องหาหลักประกัน)

(H3) ขั้นตอนการฟ้องคดีต่อศาลภาษีอากร

หากคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยออกมาแล้ว และคุณยังคงไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยนั้น คุณยังมีสิทธิขั้นสุดท้าย คือ:

  • การฟ้องคดีต่อศาลภาษีอากร: คุณต้องยื่นฟ้องคดีต่อศาลภาษีอากรกลาง ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์
  • ข้อควรพิจารณา: การฟ้องคดีต่อศาลเป็นกระบวนการทางกฎหมายเต็มรูปแบบ ที่ต้องมีการสืบพยานและต่อสู้คดีในชั้นศาล การมีที่ปรึกษาทางกฎหมายที่มีความเข้าใจในประเด็นภาษีจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในขั้นตอนนี้

กระบวนการทางภาษีเหล่านี้มีความซับซ้อนและมีกำหนดเวลาที่เข้มงวด การละเลยหมายเรียกหรือการยื่นอุทธรณ์ล่าช้า อาจทำให้คุณเสียสิทธิในการต่อสู้ประเด็นนั้นๆ ไปอย่างถาวร


(H2) การวางแผนภาษี (Tax Planning) กับ การหลีกเลี่ยงภาษี (Tax Evasion): เส้นแบ่งที่ต้องชัดเจน

การจัดการภาษีอย่างมีประสิทธิภาพเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารการเงินที่ดี แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้อง

  • การวางแผนภาษี (Tax Planning): คือการใช้ประโยชน์จาก “ช่องทาง” ที่กฎหมายเปิดทางไว้ให้ (เช่น การใช้สิทธิลดหย่อนเต็มที่, การเลือกรูปแบบการลงทุนที่ได้สิทธิประโยชน์, การจัดโครงสร้างธุรกิจที่เหมาะสม) เพื่อให้เสียภาษีในจำนวนที่ถูกต้องและเหมาะสมตามกฎหมาย นี่คือสิ่งที่ควรทำ
  • การหนีภาษี (Tax Evasion): คือการกระทำที่ “ผิดกฎหมาย” เพื่อจงใจจ่ายภาษีน้อยกว่าที่ควรจะเป็น (เช่น การปกปิดรายได้, การสร้างค่าใช้จ่ายเท็จ, การใช้ใบกำกับภาษีปลอม) นี่คืออาชญากรรม
  • การหลีกเลี่ยงภาษี (Tax Avoidance): เป็นพื้นที่สีเทา คือการหาประโยชน์จาก “ช่องโหว่” ของกฎหมาย (Loopholes) แม้จะยังไม่ผิดกฎหมายในตัวมันเอง แต่ก็อาจนำไปสู่การถูกตรวจสอบและประเมินภาษีย้อนหลังได้ หากกรมสรรพากรตีความว่าเป็นการกระทำที่ไม่มีเหตุผลสมควรทางธุรกิจ

แนวทางที่ยั่งยืนที่สุดคือการวางแผนภาษีที่ถูกต้อง การจัดทำเอกสารและบัญชีที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ จะช่วยลดความเสี่ยงในการมีประเด็นกับกรมสรรพากรในอนาคต


(H2) สรุป: กฎหมายภาษีไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่คือส่วนหนึ่งของความรับผิดชอบ

กฎหมายภาษีของไทยมีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ การ “ไม่รู้” กฎหมาย ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะทำให้พ้นจากความรับผิดชอบได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นบุคคลธรรมดาที่รับเงินเดือน หรือเป็นเจ้าของธุรกิจที่กำลังเติบโต การทำความเข้าใจพื้นฐานทางภาษี, การบันทึกรายรับ-รายจ่ายอย่างเป็นระบบ, การติดตามกำหนดเวลาในการยื่นแบบและชำระภาษี และการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ถูกต้อง คือหัวใจสำคัญของการบริหารจัดการการเงินที่มั่นคง

การจัดการภาษีไม่ใช่เรื่องที่ต้องเผชิญเพียงลำพัง ในหลายครั้ง ประเด็นทางภาษี โดยเฉพาะในชั้นการตรวจสอบ การอุทธรณ์ หรือการวางโครงสร้างธุรกิจ มีความซับซ้อนที่ต้องอาศัยการวิเคราะห์ข้อกฎหมายและแนวทางปฏิบัติของกรมสรรพากร

หากคุณมีข้อสงสัย หรือกำลังเผชิญกับประเด็นทางภาษีที่ซับซ้อน และต้องการคำปรึกษาเพื่อหาแนวทางที่เหมาะสม สามารถติดต่อทนายวิรัชได้ที่ สายด่วน โทร 0812585681 หรือ add line @732hjgrx

เข้าใจกฎหมายภาษีไทย ฉบับเข้าใจง่าย สำหรับเจ้าของกิจการและคนทำงานยุคใหม่

ในยุคที่ธุรกิจและการเงินเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว กฎหมายภาษีคือสิ่งที่ทุกคนควรเข้าใจ — ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของกิจการ พนักงาน หรือบุคคลทั่วไป เพราะ “ภาษี” คือหน้าที่ทางกฎหมายที่ทุกคนต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง หากละเลยหรือเข้าใจผิด อาจนำไปสู่ปัญหาทางกฎหมายและค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น

บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจ หลักกฎหมายภาษีของไทย แบบเป็นขั้นตอน พร้อมแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้อง เหมาะกับคนที่ต้องการวางแผนทางภาษีอย่างมืออาชีพ


🔹 1. ความหมายของกฎหมายภาษีและเหตุผลที่ต้องมี

กฎหมายภาษี (Tax Law) คือกฎหมายที่กำหนดให้บุคคลหรือองค์กรต้องเสียภาษีตามรายได้ กำไร หรือมูลค่าของสินค้าและบริการ เพื่อให้รัฐมีรายได้มาบริหารประเทศ เช่น สร้างถนน โรงพยาบาล โรงเรียน และโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ

เหตุผลสำคัญที่ต้องมีกฎหมายภาษี ได้แก่:

  1. เพื่อจัดเก็บรายได้ให้รัฐนำไปพัฒนาประเทศ
  2. เพื่อสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ
  3. เพื่อควบคุมกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เช่น การเก็งกำไรหรือการนำเข้าสินค้า
  4. เพื่อเป็นเครื่องมือกระตุ้นหรือชะลอเศรษฐกิจในบางช่วงเวลา

🔹 2. ประเภทของภาษีในประเทศไทย

ประเทศไทยมีภาษีหลัก ๆ 2 ประเภท คือ

1. ภาษีทางตรง (Direct Tax)

คือภาษีที่ผู้มีรายได้ต้องชำระโดยตรงกับกรมสรรพากร ตัวอย่างเช่น

  • ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (Personal Income Tax)
  • ภาษีเงินได้นิติบุคคล (Corporate Income Tax)

2. ภาษีทางอ้อม (Indirect Tax)

คือภาษีที่เก็บจากการบริโภคสินค้าและบริการ เช่น

  • ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
  • ภาษีสรรพสามิต (Excise Tax)
  • ภาษีศุลกากร (Import/Export Duties)

🔹 3. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (Personal Income Tax)

📘 ใครต้องเสียภาษี

บุคคลธรรมดา ห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคลที่มีรายได้จากแหล่งในประเทศไทย

💰 ประเภทของรายได้ที่ต้องเสียภาษี (ตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร)

  1. เงินเดือน ค่าจ้าง โบนัส
  2. ค่าจ้างอิสระ เช่น ที่ปรึกษา ทนาย สถาปนิก นักบัญชี
  3. ค่าลิขสิทธิ์ ดอกเบี้ย เงินปันผล
  4. ค่าเช่าทรัพย์สิน เช่น ที่ดิน อาคาร
  5. กำไรจากการขายทรัพย์สินหรือหุ้น

🧮 อัตราภาษีแบบขั้นบันได (ปีภาษี 2567 เป็นต้นไป)

รายได้สุทธิ (บาท/ปี)อัตราภาษี
0 – 150,000ยกเว้น
150,001 – 300,0005%
300,001 – 500,00010%
500,001 – 750,00015%
750,001 – 1,000,00020%
1,000,001 – 2,000,00025%
2,000,001 – 5,000,00030%
มากกว่า 5,000,00035%

📅 กำหนดการยื่นแบบ

  • ยื่นภาษีบุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.90 / ภ.ง.ด.91): ภายในวันที่ 31 มีนาคมของทุกปี

🔹 4. ภาษีเงินได้นิติบุคคล (Corporate Income Tax)

🏢 ใครต้องเสีย

บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จดทะเบียนในประเทศไทย และมีรายได้จากกิจการภายในประเทศ

💼 อัตราภาษี

  • นิติบุคคลทั่วไป: 20% ของกำไรสุทธิ
  • ธุรกิจขนาดเล็ก (SMEs): อาจได้รับลดหย่อนอัตราภาษีตามเงื่อนไขของกรมสรรพากร

🧾 การยื่นแบบ

  • ครึ่งปี: ภ.ง.ด.51 ภายใน 2 เดือนหลังจากรอบบัญชี 6 เดือน
  • สิ้นปี: ภ.ง.ด.50 ภายใน 150 วันหลังสิ้นรอบบัญชี

🔹 5. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)

🛒 คืออะไร

ภาษีที่เรียกเก็บจากมูลค่าเพิ่มของสินค้าและบริการในทุกขั้นตอนการผลิตและจำหน่าย

💡 ใครบ้างที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม

  • ผู้ประกอบการที่มีรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี

📑 อัตราภาษี

  • อัตราทั่วไป: 7% (ชั่วคราวต่อเนื่องตามนโยบายรัฐ)
  • บางกิจการได้รับการยกเว้น เช่น การศึกษา การแพทย์ หรือเกษตรกรรมบางประเภท

🔹 6. ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (Withholding Tax)

คือภาษีที่ผู้จ่ายเงินต้องหักไว้บางส่วนก่อนจ่ายให้ผู้รับ เช่น

  • จ้างงาน 10,000 บาท หักภาษี ณ ที่จ่าย 3% → ผู้รับได้เงิน 9,700 บาท
  • ผู้จ่ายต้องนำส่งกรมสรรพากรภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป

อัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายทั่วไป:

  • ค่าจ้างบริการ 3%
  • ค่าเช่า 5%
  • ดอกเบี้ย 1%

🔹 7. ภาษีอื่น ๆ ที่ควรรู้

  1. ภาษีธุรกิจเฉพาะ เช่น ธนาคาร หรือกิจการสินเชื่อ
  2. ภาษีป้าย สำหรับผู้ติดตั้งป้ายโฆษณา
  3. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง สำหรับผู้ถือครองทรัพย์สิน
  4. ภาษีมรดกและภาษีการให้ สำหรับการโอนทรัพย์สินโดยไม่มีค่าตอบแทน

🔹 8. สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ควรรู้

รัฐมีมาตรการส่งเสริมหลายอย่างเพื่อช่วยลดภาระภาษี เช่น

  • ลดหย่อนค่าครองชีพ ค่าประกันชีวิต ค่าบุตร ค่าพ่อแม่
  • หักค่าใช้จ่ายจากการบริจาค
  • มาตรการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI
  • การยื่นแบบออนไลน์ผ่านระบบ e-Filing เพื่อความสะดวก

🔹 9. ความผิดทางภาษีและโทษตามกฎหมาย

การละเลยหรือจงใจหลีกเลี่ยงภาษีมีผลทางกฎหมายร้ายแรง เช่น

การกระทำผิดโทษที่อาจได้รับ
ไม่ยื่นแบบภาษีปรับไม่เกิน 2,000 บาท
ยื่นภาษีเกินกำหนดเสียเบี้ยปรับ 1.5% ต่อเดือน
ยื่นข้อมูลเท็จจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
เจตนาหลีกเลี่ยงภาษีถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลังพร้อมเบี้ยปรับสูงสุด 100% ของยอดที่ขาด

🔹 10. แนวทางวางแผนภาษีอย่างถูกกฎหมาย

การวางแผนภาษี (Tax Planning) ไม่ใช่การหลีกเลี่ยงภาษี แต่เป็นการบริหารรายได้และค่าใช้จ่ายให้สอดคล้องกับกฎหมาย เช่น

  1. จัดทำบัญชีให้ถูกต้องตามหลักบัญชี
  2. ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีให้ครบถ้วน
  3. เก็บเอกสารหลักฐานทุกใบเสร็จ
  4. ปรึกษาทนายหรือที่ปรึกษาภาษีเพื่อวางแผนล่วงหน้า

🔹 11. ตัวอย่างกรณีจริง: เจ้าของธุรกิจถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง

เจ้าของกิจการรายหนึ่งไม่ได้ยื่นแบบ ภ.ง.ด.51 ครึ่งปี และไม่จัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายตามจริง เมื่อกรมสรรพากรตรวจสอบย้อนหลัง พบว่ามีรายได้มากกว่าที่แจ้งไว้ ส่งผลให้ถูกเรียกเก็บภาษีย้อนหลังพร้อมเบี้ยปรับรวมกว่า 500,000 บาท

บทเรียนสำคัญ:

  • จัดทำบัญชีให้ตรงกับรายได้จริง
  • ยื่นภาษีตรงเวลา
  • ปรึกษาผู้รู้ทางกฎหมายภาษีตั้งแต่ต้น

🔹 12. ภาษีกับธุรกิจออนไลน์และผู้มีรายได้จากต่างประเทศ

ยุคดิจิทัลทำให้รายได้รูปแบบใหม่เกิดขึ้น เช่น

  • รายได้จาก YouTube / TikTok
  • การขายสินค้าออนไลน์
  • การรับงานต่างประเทศ

กรมสรรพากรได้ปรับปรุงกฎหมายให้ครอบคลุมรายได้จากแพลตฟอร์มออนไลน์ทุกประเภท ผู้มีรายได้ต้อง ยื่นภาษีเหมือนรายได้ทั่วไป โดยสามารถหักค่าใช้จ่ายตามจริงหรือเหมาตามประเภทอาชีพได้


🔹 13. ความเปลี่ยนแปลงล่าสุดในกฎหมายภาษีไทย (ปี 2567–2568)

  • การปรับระบบ e-Tax Invoice / e-Receipt ให้ใช้ทั่วประเทศ
  • การเชื่อมข้อมูลภาษีกับธนาคาร
  • การขยายสิทธิลดหย่อนดิจิทัลสำหรับ SMEs
  • การปรับปรุงอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง

🔹 14. สรุป: เข้าใจกฎหมายภาษี = ป้องกันปัญหาและสร้างโอกาส

การเข้าใจกฎหมายภาษีไม่ได้มีไว้แค่ “ยื่นให้ครบ” แต่คือเครื่องมือในการวางแผนการเงิน การบริหารธุรกิจ และการปกป้องสิทธิ์ของตนเอง การทำให้ถูกตั้งแต่ต้นจะช่วยลดความเสี่ยง ถูกตรวจสอบย้อนหลัง และสร้างความมั่นใจให้กับกิจการในระยะยาว


📞 สนใจปรึกษากฎหมายภาษี

หากคุณต้องการคำแนะนำด้านภาษี การยื่นแบบ การวางแผน หรือมีข้อสงสัยทางกฎหมาย

สามารถติดต่อทนายวิรัชได้ที่:
📞 สายด่วน โทร 081-258-5681
📱 Line: @732hjgrx

เข้าใจกฎหมายภาษีให้ทันเกม: ป้องกันความเสี่ยงทางภาษี ก่อนโดนเรียกเก็บย้อนหลัง

บทนำ

การจัดการภาษีไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการจ่ายเงินให้รัฐ แต่ยังเกี่ยวข้องกับความเข้าใจใน กฎหมายภาษีอากร อย่างถูกต้อง หากคุณละเลย หรือทำผิดโดยไม่ตั้งใจ อาจนำไปสู่การโดนตรวจสอบย้อนหลัง ปรับเงิน หรือแม้แต่ถูกดำเนินคดีอาญาในบางกรณี

บทความนี้จะพาคุณเข้าใจตั้งแต่พื้นฐานของกฎหมายภาษี ประเภทภาษีที่เกี่ยวข้อง แนวปฏิบัติที่ถูกต้อง ไปจนถึงข้อผิดพลาดที่มักเกิดขึ้นบ่อย และวิธีการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงต่าง ๆ โดยเนื้อหาครอบคลุมทั้งบุคคลทั่วไป, พนักงานประจำ, เจ้าของธุรกิจ, ผู้ค้าออนไลน์ และบริษัท


1. กฎหมายภาษีคืออะไร?

กฎหมายภาษีคือชุดของกฎระเบียบที่กำหนดโดยรัฐเพื่อให้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลปฏิบัติตามในการยื่นแบบ ชำระภาษี และรายงานรายได้หรือทรัพย์สินต่าง ๆ

ตัวอย่างกฎหมายสำคัญ:

กฎหมายเนื้อหาโดยสังเขป
ประมวลรัษฎากรกฎหมายหลักในการจัดเก็บภาษีทุกประเภทในประเทศไทย
พ.ร.บ. ภาษีมูลค่าเพิ่มกำหนดหน้าที่ของผู้ประกอบการที่มีรายได้เกินเกณฑ์ในการจด VAT
พ.ร.บ. ภาษีธุรกิจเฉพาะใช้กับธุรกิจเฉพาะเช่น ธนาคาร หรือธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
กฎหมายภาษีสรรพสามิตใช้กับสินค้าอุปโภคบริโภคที่ส่งผลต่อสุขภาพหรือสิ่งแวดล้อม

2. ประเภทของภาษีที่ควรรู้

ประเภทผู้มีหน้าที่เสียตัวอย่าง
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาพนักงาน, ฟรีแลนซ์ภ.ง.ด.90, ภ.ง.ด.91
ภาษีเงินได้นิติบุคคลบริษัท, ห้างหุ้นส่วนภ.ง.ด.50
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)ผู้ประกอบการที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาท/ปีอัตรา 7%
ภาษีธุรกิจเฉพาะธุรกิจธนาคาร, นายหน้าที่ดินอัตรา 3.3%
ภาษีหัก ณ ที่จ่ายผู้ว่าจ้างจ่ายค่าจ้าง ค่าบริการภ.ง.ด.3, ภ.ง.ด.53
ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเจ้าของที่ดินหรือบ้านเสียภาษีรายปี
อากรแสตมป์ผู้ทำสัญญาทางกฎหมายเช่น สัญญาเช่า สัญญากู้เงิน

3. หน้าที่ของผู้เสียภาษี

  • ยื่นแบบภาษี ให้ถูกต้องและตรงตามกำหนด
  • ชำระภาษี ภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด
  • เก็บเอกสารบัญชี และเอกสารประกอบอื่น ๆ ไว้อย่างน้อย 5 ปี
  • ไม่หลีกเลี่ยงหรือซ่อนรายได้

การละเลยแม้เพียงเล็กน้อยอาจทำให้ถูกตรวจสอบและประเมินภาษีย้อนหลังได้


4. ความผิดและบทลงโทษทางภาษี

การกระทำผิดโทษ
ยื่นแบบภาษีเท็จปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 6 เดือน
ไม่ยื่นแบบภาษีปรับสูงสุด 2,000 บาท และมีเบี้ยปรับเงินเพิ่ม
ไม่หักภาษี ณ ที่จ่ายปรับสูงสุด 100,000 บาท
เจตนาหลีกเลี่ยงภาษีจำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 200,000 บาท

5. แนวทางป้องกันปัญหาทางภาษี

  • จดบันทึกรายได้และค่าใช้จ่ายอย่างสม่ำเสมอ
  • ใช้โปรแกรมบัญชีหรือปรึกษาผู้มีความรู้
  • ยื่นแบบให้ตรงเวลา และเก็บเอกสารให้ครบ
  • ตรวจสอบสถานะภาษีในระบบของกรมสรรพากรเป็นระยะ
  • ขอคำปรึกษาทางกฎหมายเมื่อมีข้อสงสัย

6. เคสตัวอย่างที่พบได้จริง

กรณีหลีกเลี่ยงภาษีโดยไม่ยื่นแบบ

นาย ก. เป็นฟรีแลนซ์ที่รับงานออนไลน์ มีรายได้เฉลี่ยเดือนละ 80,000 บาท แต่ไม่เคยยื่นแบบภาษีเลย กรมสรรพากรตรวจพบผ่านระบบ Big Data และส่งจดหมายเรียกเก็บย้อนหลัง 5 ปี พร้อมเบี้ยปรับเงินเพิ่มรวมกว่า 500,000 บาท

กรณีขอคืนภาษีได้อย่างถูกต้อง

บริษัท ข. จ้างนักบัญชีจัดระบบเอกสารครบถ้วน เมื่อมีรายจ่ายทางธุรกิจมากกว่าเงินได้บางปี จึงสามารถยื่นขอคืนภาษีได้กว่า 200,000 บาทอย่างถูกต้องและปลอดภัย


7. ภาษีสำหรับธุรกิจออนไลน์และฟรีแลนซ์

ในยุคที่การค้าขายเกิดขึ้นทางโซเชียลและแพลตฟอร์มดิจิทัล ผู้ขายออนไลน์และฟรีแลนซ์ต้องเข้าใจกฎหมายภาษีอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะ:

  • ต้องยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
  • หากรายได้เกิน 1.8 ล้านบาท ต้องจด VAT
  • อาจถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายจากแพลตฟอร์มที่จ่ายเงิน
  • ควรเก็บหลักฐานการรับเงิน-โอนเงินให้ชัดเจน

8. ข้อควรระวังเมื่อต้องเจรจากับเจ้าหน้าที่ภาษี

  • ควรมีที่ปรึกษาหรือทนายความเข้าร่วม
  • อย่าเซ็นรับผิดชอบก่อนอ่านรายละเอียดครบถ้วน
  • ขอดูหลักฐานและเอกสารที่เป็นต้นเหตุของการประเมินภาษี
  • ใช้สิทธิอุทธรณ์ภายในระยะเวลาที่กำหนด

9. ข้อแนะนำเพิ่มเติม

  • การปรึกษากฎหมายภาษีไม่ใช่แค่เรื่องของคนมีรายได้สูง แต่ทุกคนควรเข้าใจพื้นฐานเพื่อลดความเสี่ยง
  • หากคุณกำลังเริ่มธุรกิจ การวางแผนภาษีตั้งแต่ต้นจะช่วยประหยัดและปลอดภัยในระยะยาว
  • การใช้บริการจากผู้ให้คำปรึกษาทางกฎหมายจะช่วยให้คุณจัดการเรื่องภาษีได้อย่างมั่นใจ

10. ติดต่อทนายความเพื่อขอคำปรึกษาเรื่องภาษี

หากคุณมีข้อสงสัย ต้องการวางแผนภาษี หรืออยู่ในกระบวนการตรวจสอบจากกรมสรรพากร สามารถติดต่อเพื่อรับคำแนะนำจากทนายความได้ที่:

📞 สายด่วน โทร 081-258-5681
📱 Line: @732hjgrx