บนท้องถนนทุกวันนี้ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน “อุบัติเหตุ” สามารถเกิดขึ้นได้ในเสี้ยววินาที แม้ว่าเราจะขับรถด้วยความระมัดระวังเพียงใดก็ตาม การมี “ประกันรถ” จึงไม่ใช่แค่ “ทางเลือก” แต่คือ “สิ่งจำเป็น” ที่เป็นเหมือนเกราะป้องกันทางการเงินให้กับคุณและรถที่คุณรัก
อย่างไรก็ตาม โลกของประกันรถนั้นกว้างใหญ่และเต็มไปด้วยตัวเลือกที่หลากหลาย ตั้งแต่ “ประกันชั้น 1” ที่ครอบคลุมทุกอย่าง ไปจนถึง “พ.ร.บ.” ที่หลายคนยังเข้าใจผิด ทั้งยังมีศัพท์เฉพาะอย่าง “ค่าเสียหายส่วนแรก” หรือ “ทุนประกัน” ที่ทำให้การตัดสินใจเลือกซื้อกลายเป็นเรื่องยาก
บทความนี้จะทำหน้าที่เป็นแผนที่นำทาง ช่วยให้คุณเข้าใจประกันรถยนต์อย่างถ่องแท้ ตั้งแต่พื้นฐานไปจนถึงประเด็นทางกฎหมายเล็กๆ น้อยๆ ที่คุณควรรู้ เพื่อให้คุณได้รับความคุ้มครองที่เหมาะสมที่สุดในเบี้ยประกันที่คุ้มค่าที่สุด
ภาค 1: ประกันภาคบังคับ (พ.ร.บ.) – สิ่งที่รถทุกคัน “ต้องมี”
ก่อนที่เราจะไปพูดถึงประกันภาคสมัครใจ (ประกันชั้น 1, 2, 3) เราต้องเริ่มต้นจากสิ่งที่สำคัญที่สุดและเป็นข้อบังคับตามกฎหมาย นั่นคือ พ.ร.บ. หรือ พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535
หลายคนมักเข้าใจผิดว่า พ.ร.บ. คือประกันที่คุ้มครอง “รถ” แต่ความจริงแล้ว พ.ร.บ. ถูกออกแบบมาเพื่อคุ้มครอง “คน” หรือ “ชีวิต” ที่ได้รับผลกระทบจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นคนขับ ผู้โดยสาร หรือแม้แต่คนเดินเท้าที่โชคร้าย
พ.ร.บ. คุ้มครองอะไรบ้าง?
พ.ร.บ. จะจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้กับ “ผู้ประสบภัย” (คน) โดยไม่สนว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายถูกหรือผิด เพื่อให้ผู้บาดเจ็บได้รับการรักษาพยาบาลอย่างทันท่วงที โดยมีความคุ้มครองหลักๆ ดังนี้:
- ค่าเสียหายเบื้องต้น (จ่ายทันที ไม่ต้องรอพิสูจน์ถูกผิด):
- ค่ารักษาพยาบาล (ตามจริง): สูงสุดไม่เกิน 30,000 บาท/คน
- กรณีเสียชีวิต, สูญเสียอวัยวะ หรือทุพพลภาพถาวร: 35,000 บาท/คน
- ค่าสินไหมทดแทนส่วนเกิน (จ่ายเมื่อพิสูจน์แล้วว่าเป็นฝ่ายถูก):
- ค่ารักษาพยาบาล (รวมข้อ 1 แล้ว): สูงสุดไม่เกิน 80,000 บาท/คน
- กรณีเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง: 500,000 บาท/คน
- กรณีสูญเสียอวัยวะ: 200,000 – 500,000 บาท (ตามที่กฎหมายกำหนด)
- ค่าชดเชยรายวัน (กรณีนอนโรงพยาบาล): 200 บาท/วัน (สูงสุด 20 วัน)
จุดสำคัญที่ต้องจำเกี่ยวกับ พ.ร.บ.
- ไม่คุ้มครองรถ: พ.ร.บ. ไม่จ่ายค่าซ่อมรถ ไม่ว่าจะเป็นรถเราหรือรถคู่กรณี
- ต้องต่อทุกปี: การไม่ต่อ พ.ร.บ. ถือว่าผิดกฎหมาย มีโทษปรับ และไม่สามารถต่อภาษีรถยนต์ประจำปีได้
- คุ้มครองเฉพาะคน: เน้นย้ำว่านี่คือหลักประกันสำหรับชีวิตและร่างกายเท่านั้น
เมื่อเรามีเกราะป้องกันสำหรับ “คน” แล้ว ลำดับถัดไปคือการหาเกราะป้องกันสำหรับ “รถ” และ “ทรัพย์สิน” ซึ่งนั่นคือหน้าที่ของประกันภาคสมัครใจ
ภาค 2: เจาะลึกประกันภาคสมัครใจ – เลือก “ชั้น” ไหนให้เหมาะกับคุณ?
นี่คือส่วนที่คนส่วนใหญ่สับสนที่สุด “ประกันชั้น 1”, “2+”, “3+” มันต่างกันอย่างไร? เราจะอธิบายให้ชัดเจนทีละประเภท โดยเรียงลำดับจากความคุ้มครองที่มากที่สุดไปน้อยที่สุด
ประกันชั้น 1 (Type 1): “ครอบจักรวาล”
คุ้มครองอะไรบ้าง:
- ความรับผิดต่อบุคคลภายนอก:
- ชีวิต/ร่างกาย ของคู่กรณี (และคนเดินเท้า)
- ทรัพย์สิน ของคู่กรณี (เช่น รถ, รั้วบ้าน, เสาไฟฟ้า)
- ความเสียหายต่อรถยนต์คันเอาประกัน (รถเราเอง):
- รถชนรถ: คุ้มครองทั้งเราเป็นฝ่ายถูก หรือเป็นฝ่ายผิด
- รถชนแบบไม่มีคู่กรณี: นี่คือจุดเด่น! เช่น ถอยชนเสา, ชนต้นไม้, หินกระเด็นใส่, รถไถลตกข้างทาง
- รถยนต์สูญหาย ไฟไหม้ และน้ำท่วม: คุ้มครองความเสียหายจากภัยธรรมชาติ (บางกรมธรรม์รวมน้ำท่วม) การโจรกรรม และไฟไหม้
เหมาะกับใคร:
- รถใหม่ป้ายแดง (อายุ 1-3 ปี): เพราะมูลค่ารถยังสูง ค่าซ่อมแพง
- มือใหม่หัดขับ: มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ แบบไม่มีคู่กรณีสูง
- คนที่ต้องการความสบายใจสูงสุด: ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายใดๆ เมื่อเกิดเหตุ
ประกันชั้น 2+ (Type 2 Plus): “คุ้มค่า ยอดนิยม”
คุ้มครองอะไรบ้าง:
- ความรับผิดต่อบุคคลภายนอก: (เหมือนชั้น 1)
- ชีวิต/ร่างกาย ของคู่กรณี
- ทรัพย์สิน ของคู่กรณี
- ความเสียหายต่อรถยนต์คันเอาประกัน (รถเราเอง):
- ต้องเป็นกรณี “รถชนรถ” เท่านั้น และต้องระบุคู่กรณีที่เป็นยานพาหนะทางบกได้ (เช่น รถยนต์, มอเตอร์ไซค์)
- ไม่คุ้มครอง การชนแบบไม่มีคู่กรณี (ถอยชนเสา, ชนต้นไม้ ไม่จ่าย)
- รถยนต์สูญหาย ไฟไหม้: (ส่วนใหญ่คุ้มครอง แต่มักไม่รวมน้ำท่วม)
เหมาะกับใคร:
- รถยนต์อายุ 3-7 ปี: ที่มูลค่าเริ่มลดลง แต่ยังต้องการความคุ้มครองที่ครอบคลุม
- ผู้ขับขี่ที่มีประสบการณ์: มั่นใจว่าไม่น่าจะเกิดเหตุชนแบบไม่มีคู่กรณี
- คนที่ต้องการประหยัดเบี้ย: เบี้ยประกันถูกกว่าชั้น 1 อย่างชัดเจน แต่ได้ความคุ้มครองที่ใกล้เคียงมาก
ประกันชั้น 3+ (Type 3 Plus): “ประหยัด เน้นซ่อมเขา-ซ่อมเรา”
คุ้มครองอะไรบ้าง:
- ความรับผิดต่อบุคคลภายนอก: (เหมือนชั้น 1 และ 2+)
- ชีวิต/ร่างกาย ของคู่กรณี
- ทรัพย์สิน ของคู่กรณี
- ความเสียหายต่อรถยนต์คันเอาประกัน (รถเราเอง):
- ต้องเป็นกรณี “รถชนรถ” เท่านั้น (เหมือน 2+)
จุดต่างจาก 2+: ประกันชั้น 3+ “ไม่คุ้มครอง” กรณีรถสูญหายหรือไฟไหม้
เหมาะกับใคร:
- รถยนต์อายุ 7-15 ปี: ที่ไม่กังวลเรื่องรถหายหรือไฟไหม้
- รถที่ใช้งานในเมืองเป็นหลัก: ไม่ได้จอดในที่เสี่ยง
- คนที่ต้องการเบี้ยประกันราคาประหยัด: แต่ยังต้องการความคุ้มครองซ่อมรถเราเมื่อเกิดเหตุชนกับรถคันอื่น
ประกันชั้น 2 (Type 2): “คุ้มครองเขา + รถเราหาย/ไฟไหม้”
คุ้มครองอะไรบ้าง:
- ความรับผิดต่อบุคคลภายนอก: (เหมือนชั้น 1, 2+, 3+)
- ชีวิต/ร่างกาย ของคู่กรณี
- ทรัพย์สิน ของคู่กรณี
- รถยนต์สูญหาย ไฟไหม้: คุ้มครองเฉพาะกรณีนี้
จุดสำคัญ: ประกันชั้น 2 “ไม่คุ้มครอง” ความเสียหายต่อรถเราเองใน ทุกกรณี ไม่ว่าจะชนแบบมีหรือไม่มีคู่กรณีก็ตาม
เหมาะกับใคร:
- ปัจจุบันไม่ค่อยเป็นที่นิยม เพราะ 2+ และ 3+ ให้ความคุ้มครองที่ดีกว่า
- อาจเหมาะกับรถที่จอดไว้เฉยๆ แต่กลัวหายหรือไฟไหม้
ประกันชั้น 3 (Type 3): “พื้นฐาน คุ้มครองคู่กรณีเท่านั้น”
คุ้มครองอะไรบ้าง:
- ความรับผิดต่อบุคคลภายนอก:
- ชีวิต/ร่างกาย ของคู่กรณี
- ทรัพย์สิน ของคู่กรณี
จุดสำคัญ: ประกันชั้น 3 “ไม่คุ้มครองรถเราเลย” ไม่ว่ากรณีใดๆ และไม่คุ้มครองรถหาย/ไฟไหม้ด้วย (สรุปคือ ซ่อมเขาอย่างเดียว รถเราซ่อมเอง)
เหมาะกับใคร:
- รถเก่ามาก (อายุ 15 ปีขึ้นไป): ที่ค่าซ่อมรถเราไม่แพง หรือเจ้าของตัดสินใจว่าจะซ่อมเองถ้าเกิดเหตุ
- รถที่ใช้งานน้อยมาก (รถสำรอง):
- คนที่ต้องการจ่ายเบี้ยประกันน้อยที่สุด แต่ยังคงมีความรับผิดชอบต่อสังคม (เมื่อไปชนคนอื่น)
ตารางสรุปความคุ้มครองประกันรถยนต์
| ความคุ้มครอง | ชั้น 1 | ชั้น 2+ | ชั้น 3+ | ชั้น 2 | ชั้น 3 |
| ซ่อมรถคู่กรณี (ทรัพย์สิน) | ✅ | ✅ | ✅ | ✅ | ✅ |
| ซ่อมคนคู่กรณี (ชีวิต/ร่างกาย) | ✅ | ✅ | ✅ | ✅ | ✅ |
| ซ่อมรถเรา (ชนรถ) | ✅ | ✅ | ✅ | ❌ | ❌ |
| ซ่อมรถเรา (ชนไม่มีคู่กรณี) | ✅ | ❌ | ❌ | ❌ | ❌ |
| รถหาย / ไฟไหม้ | ✅ | ✅ | ❌ | ✅ | ❌ |
| น้ำท่วม | ✅ | ❌* | ❌ | ❌ | ❌ |
(หมายเหตุ: ประกัน 2+ บางแผนอาจมีความคุ้มครองน้ำท่วม แต่ต้องตรวจสอบในกรมธรรม์)
ภาค 3: ถอดรหัส “ศัพท์ประกัน” ที่คุณต้องรู้ก่อนเซ็นสัญญา
การเลือก “ชั้น” ประกันได้แล้วเป็นแค่ก้าวแรก คุณต้องเข้าใจคำศัพท์เหล่านี้ด้วย เพื่อไม่ให้เสียเปรียบเมื่อต้องเคลมหรือเมื่อต้องตัดสินใจซื้อ
1. ทุนประกัน (Sum Insured)
- คืออะไร: วงเงินสูงสุดที่บริษัทประกันจะจ่ายให้คุณ ในกรณีที่รถของคุณ “เสียหายสิ้นเชิง” (Total Loss) หรือ “สูญหาย/ไฟไหม้”
- เสียหายสิ้นเชิงคือ: รถเสียหายหนักมาก (ปกติคือเกิน 70% ของมูลค่ารถ) จนซ่อมไม่คุ้ม บริษัทจะจ่ายเงินก้อนนี้ให้คุณ (ตามทุนประกัน) แล้วโอนซากรถเป็นของบริษัทประกัน
- คำนวณอย่างไร: ปกติจะอยู่ที่ 80% – 90% ของ “ราคากลาง” หรือ “ราคาตลาด” ของรถรุ่นนั้นๆ ในปีปัจจุบัน (ไม่ใช่ราคาที่คุณซื้อมา)
- ข้อควรระวัง: ทุนประกันสูง เบี้ยก็สูงตาม แต่ถ้าทุนประกันต่ำไป เมื่อรถหายหรือเสียหายหนัก คุณก็จะได้เงินคืนน้อยกว่าที่ควรจะเป็น
2. ค่าเสียหายส่วนแรก (Deductible vs. Excess)
นี่คือคำที่คนสับสนที่สุด และเป็นประเด็นขัดแย้งบ่อยที่สุดเวลาเคลม
- Deductible (ค่าเสียหายส่วนแรกแบบ “สมัครใจ”)
- คือ ส่วนลดค่าเบี้ยประกัน
- คุณตกลงกับบริษัทประกัน “ตั้งแต่ตอนซื้อ” ว่า “ถ้าฉันเป็นฝ่ายผิด หรือเคลมแบบไม่มีคู่กรณี (เช่น ชนเสา) ฉันยินดีจะช่วยจ่าย 3,000 หรือ 5,000 บาทแรกเอง”
- ผลคือ: คุณจะได้ “ส่วนลดค่าเบี้ยประกัน” ทันที
- ข้อดี: ประหยัดค่าเบี้ย เหมาะกับคนขับรถดี ไม่ค่อยเคลม
- ข้อเสีย: ถ้าเกิดเหตุขึ้นมาจริงๆ (และคุณเป็นฝ่ายผิด) คุณต้องจ่ายเงินก้อนนี้ก่อน
- Excess (ค่าเสียหายส่วนแรกแบบ “ภาคบังคับ”)
- คือ “ค่าปรับ” หรือ “ค่าธรรมเนียม” ที่คุณต้องจ่ายเมื่อเกิดเหตุ
- มักจะถูกกำหนดไว้ในกรมธรรม์ (โดยเฉพาะประกันชั้น 1) ว่าถ้าเกิดเหตุ “ชนแบบไม่มีคู่กรณี” หรือ “ไม่สามารถระบุคู่กรณีได้” (เช่น ถูกชนแล้วหนี, หินกระเด็นใส่) คุณจะต้องจ่ายค่า Excess นี้ (มักจะ 1,000 บาท ต่อเหตุการณ์)
- จุดต่าง: Excess ไม่ได้ทำให้เบี้ยคุณถูกลง แต่เป็นเงื่อนไขที่ติดมากับกรมธรรม์เพื่อป้องกันการเคลมเล็กๆ น้อยๆ หรือการเคลมที่หาคนผิดไม่ได้
สรุปง่ายๆ: Deductible (สมัครใจ) = จ่ายเพื่อลดเบี้ย / Excess (บังคับ) = จ่ายเมื่อหาคู่กรณีไม่ได้
3. ความคุ้มครองเพิ่มเติม (Rider)
นอกจากความคุ้มครองหลักแล้ว ประกันมักจะมีความคุ้มครองเพิ่มเติมแนบท้ายมาด้วย เช่น:
- อุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA): คุ้มครองคนขับและผู้โดยสารในรถเรา กรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพจากอุบัติเหตุ
- ค่ารักษาพยาบาล (Medical Expense): วงเงินค่ารักษาพยาบาลสำหรับคนในรถเรา (นอกเหนือจากที่ได้จาก พ.ร.บ.)
- การประกันตัวผู้ขับขี่ (Bail Bond): วงเงินที่บริษัทประกันจะนำไปประกันตัวคุณ หากคุณเป็นฝ่ายผิดในคดีอาญา (เช่น ขับรถชนคนบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิต)
ภาค 4: ขั้นตอนปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุ – “เคลม” อย่างไรไม่ให้มีปัญหา
เมื่อเลือกประกันได้แล้ว สิ่งสำคัญต่อมาคือต้องรู้วิธีใช้สิทธิ์เมื่อเกิดอุบัติเหตุ การตั้งสติและทำตามขั้นตอนที่ถูกต้อง จะช่วยให้การเคลมประกันราบรื่น
1. ตั้งสติและประเมินสถานการณ์
- หยุดรถทันที: เปิดไฟฉุกเฉิน
- ตรวจสอบความปลอดภัย: ดูว่ามีใครบาดเจ็บหรือไม่ ถ้ามี ให้โทรเรียกรถพยาบาล (1669) ทันที (พ.ร.บ. จะเข้ามาดูแลค่ารักษาพยาบาลเบื้องต้น)
- อย่าเพิ่งขยับรถ: (ยกเว้นกรณีที่กีดขวางการจราจรอย่างรุนแรง หรืออยู่ในที่อันตราย)
2. เก็บหลักฐาน (สำคัญมาก)
- ถ่ายรูป: ถ่ายรูปรถคุณและคู่กรณีหลายๆ มุม (ให้เห็นป้ายทะเบียน, ความเสียหาย, ตำแหน่งรถบนถนน, รอยเบรก (ถ้ามี))
- ถ่ายวิดีโอ: ถ่ายวิดีโอสั้นๆ รอบที่เกิดเหตุ
- แลกข้อมูล: ขอชื่อ, เบอร์โทรศัพท์, และข้อมูลประกัน (ชื่อบริษัท, เลขที่กรมธรรม์) ของคู่กรณี
- พยาน: หากมีพยานเห็นเหตุการณ์ ขอข้อมูลติดต่อไว้ด้วย
3. โทรหาบริษัทประกัน “ทันที”
- โทรเข้า Call Center ของบริษัทประกันที่คุณทำไว้ (เบอร์ฉุกเฉินมักจะอยู่บนสติกเกอร์ที่แปะหน้ารถ หรือในบัตรกรมธรรม์)
- แจ้งข้อมูล: แจ้งเลขทะเบียนรถ, สถานที่เกิดเหตุ, และลักษณะการเกิดเหตุ “ตามความเป็นจริง”
- รอเจ้าหน้าที่สำรวจภัย (Surveyor): เจ้าหน้าที่จะมาที่เกิดเหตุเพื่อประเมินสถานการณ์และออก “ใบเคลม” (Claim Form) ให้
4. การจัดการที่เกิดเหตุ
- กรณีคุณเป็นฝ่ายถูก (คู่กรณีรับผิด): เจ้าหน้าที่ประกันจะออกใบเคลมให้คุณนำรถไปเข้าอู่ (อู่ในเครือ หรืออู่ที่คุณเลือก)
- กรณีคุณเป็นฝ่ายผิด (คุณรับผิด): เจ้าหน้าที่ประกันจะดูแลคู่กรณี และออกใบเคลมให้คุณ (คุณอาจต้องจ่ายค่า Deductible/Excess ถ้ามี)
- กรณีตกลงกันไม่ได้ (ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมรับผิด): รอเจ้าหน้าที่ตำรวจมาทำแผนที่เกิดเหตุ และชี้ขาด หรือให้เรื่องดำเนินการตามกฎหมายต่อไป (ซึ่งบริษัทประกันจะเข้ามาดูแลคดีให้คุณ)
“เคลมแห้ง” กับ “เคลมสด”
- เคลมสด (Fresh Claim): คือการโทรเรียกประกัน ณ ที่เกิดเหตุทันที (ตามขั้นตอนข้างต้น)
- เคลมแห้ง (Dry Claim): คือการเคลมหลังจากเกิดเหตุไปแล้ว เช่น รอยขีดข่วนเล็กน้อย, ชนเสาที่บ้าน โดยที่คุณไม่ได้แจ้งประกันทันที
- ข้อควรระวัง: การเคลมแห้ง (โดยเฉพาะประกันชั้น 1 ที่เคลมแบบไม่มีคู่กรณี) มักจะต้องเสียค่า Excess (1,000 บาท) ต่อเหตุการณ์/ต่อชิ้นส่วน และหากเคลมบ่อยๆ อาจส่งผลต่อเบี้ยประกันในปีถัดไป
ภาค 5: ประเด็นทางกฎหมายและข้อโต้แย้งที่พบบ่อย
ในฐานะทนายความ ผมพบว่ามีหลายประเด็นที่มักทำให้เกิดข้อโต้แย้งระหว่างผู้เอาประกันและบริษัทประกัน
1. “เมาแล้วขับ” ประกันจ่ายหรือไม่?
- ตามกฎหมายใหม่ (คปภ.): หากคุณเมาแล้วขับ (มีแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์)
- ประกัน “จ่าย” ให้คู่กรณี: บริษัทประกัน “ต้อง” รับผิดชอบจ่ายค่าซ่อมและค่ารักษาพยาบาลให้ “บุคคลภายนอก” (คู่กรณี) ก่อน
- ประกัน “ไม่จ่าย” ให้รถคุณ: บริษัทประกันมีสิทธิ์ปฏิเสธความคุ้มครอง “รถคันที่เมา” (ไม่ซ่อมรถเรา)
- ไล่เบี้ย: หลังจากที่ประกันจ่ายให้คู่กรณีแล้ว บริษัทประกันมีสิทธิ์มา “ไล่เบี้ย” (เรียกเงินคืน) จากคนขับที่เมาในภายหลัง
2. การปฏิเสธการจ่าย (Claim Denial)
บริษัทประกันสามารถปฏิเสธการจ่ายได้ หากคุณทำผิดเงื่อนไขในกรมธรรม์ (Exclusions) เช่น:
- ใช้รถในทางผิดกฎหมาย (เช่น ขนยาเสพติด, แข่งขันความเร็ว)
- ใช้รถนอกอาณาเขตที่คุ้มครอง (เช่น ขับไปต่างประเทศโดยไม่แจ้ง)
- ผู้ขับขี่ไม่มีใบอนุญาตขับขี่ (หรือมีแต่ผิดประเภท เช่น มีใบขับขี่มอเตอร์ไซค์แต่มาขับรถยนต์)
3. ทำไมเบี้ยประกันปีต่อไปถึง “แพงขึ้น”?
เบี้ยประกันในปีถัดไปจะถูกคำนวณจาก “ประวัติการเคลม”
- ประวัติดี (No Claim Bonus – NCB): หากปีที่ผ่านมาคุณไม่เคลมเลย (หรือไม่ใช่ฝ่ายผิด) คุณจะได้ส่วนลดเบี้ยในปีถัดไป (ลดขั้นต่ำ 20% และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สูงสุด 50%)
- ประวัติไม่ดี (มีการเคลม): หากคุณเป็นฝ่ายผิดและมีการเคลม ส่วนลดประวัติดีจะลดลง หรืออาจถูก “เพิ่มเบี้ย” (Loading) ในปีถัดไป
บทสรุป: การเลือกประกันรถคือการบริหารความเสี่ยง
การทำประกันรถยนต์ ไม่ใช่แค่การปฏิบัติตามกฎหมาย (พ.ร.บ.) แต่คือการ “ซื้อความสบายใจ” และการ “บริหารความเสี่ยง” ทางการเงินที่ชาญฉลาด
- อย่าเลือกเพราะ “ราคาถูก” ที่สุด: ให้พิจารณา “ความคุ้มครอง” ที่เหมาะสมกับการใช้งานรถของคุณ
- พ.ร.บ. คุ้มครอง “คน” / ภาคสมัครใจ คุ้มครอง “รถ” (ทั้งเราและเขา)
- ประกันชั้น 1: เหมาะกับรถใหม่และมือใหม่ (คุ้มครองทุกอย่าง)
- ประกันชั้น 2+: คุ้มค่าที่สุดสำหรับรถส่วนใหญ่ (ซ่อมเขา-ซ่อมเรา เมื่อชนกับรถ)
- อ่านกรมธรรม์: ทำความเข้าใจเรื่อง “ทุนประกัน” และ “ค่าเสียหายส่วนแรก” (Deductible/Excess) ให้ชัดเจนก่อนตัดสินใจ
การมีประกันที่เหมาะสม เปรียบเสมือนการมีที่ปรึกษาทางการเงินคอยดูแลคุณยามเกิดเหตุฉุกเฉินบนท้องถนน หากคุณขับรถดี ไม่เคลม คุณก็ได้ส่วนลดเป็นรางวัล แต่หากโชคร้ายเกิดเหตุขึ้น คุณก็ยังมีบริษัทประกันคอยรับภาระค่าใช้จ่ายหนักๆ แทนคุณ
หากคุณประสบอุบัติเหตุ มีข้อพิพาทเรื่องการเคลมประกัน หรือต้องการคำแนะนำทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับประกันภัยรถยนต์และอุบัติเหตุ
สามารถติดต่อทนายวิรัชได้ที่ สายด่วน โทร 0812585681 หรือ add line @732hjgrx
