บทนำ: วินาทีที่คุณรู้ว่า “ต้องหาทนาย”
ความรู้สึกแรกเมื่อคุณตระหนักว่าปัญหาที่เผชิญอยู่นั้นใหญ่เกินกว่าจะจัดการได้ด้วยตัวเอง คือความกังวล ไม่ว่าจะเป็นหมายศาลที่เพิ่งมาถึง, ข้อพิพาททางธุรกิจที่ตกลงกันไม่ได้, ปัญหาครอบครัวที่ละเอียดอ่อน หรือการถูกกล่าวหาในคดีอาญา ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาคือ “ต้องจ้างทนายที่ไหนดี?”
ในยุคที่ข้อมูลท่วมท้น การค้นหาใน Google อาจทำให้คุณสับสนยิ่งกว่าเดิม รายชื่อสำนักงานกฎหมายมากมายปรากฏขึ้น พร้อมคำโฆษณาที่แตกต่างกันไป แต่คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าใครคือคนที่ “ใช่” สำหรับคุณ?
บทความนี้ไม่ได้มีเจตนาเพื่อชี้นำให้คุณเลือกใครคนใดคนหนึ่ง แต่ถูกสร้างขึ้นเพื่อมอบ “เครื่องมือ” และ “แนวคิด” ให้คุณใช้คัดกรอง คัดเลือก และตัดสินใจอย่างมีข้อมูล การเลือกทนายความที่ผิดพลาด ไม่เพียงแต่จะทำให้คุณเสียเงินและเวลา แต่ยังอาจส่งผลกระทบต่อผลลัพธ์ของคดีหรือปัญหาของคุณอย่างร้ายแรง
เราจะมาทำความเข้าใจกันทีละขั้นตอนว่า กระบวนการค้นหาทนายความที่เหมาะสมนั้นประกอบด้วยอะไรบ้าง ตั้งแต่การประเมินความต้องการของตัวเอง การค้นหาแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ การตั้งคำถามที่ถูกต้อง ไปจนถึงการประเมิน “สัญญาณอันตราย” ที่ควรหลีกเลี่ยง
ขั้นตอนที่ 1: ประเมินสถานการณ์ของตนเอง (คุณต้องการความช่วยเหลือด้านใด?)
ก่อนที่คุณจะเริ่มค้นหา “ทนายความ” คุณต้องเข้าใจ “ปัญหา” ของคุณให้ชัดเจนก่อน เพราะกฎหมายนั้นมีแขนงมากมาย การเลือกทนายความที่ “รับทำคดีประเภทนี้เป็นประจำ” ย่อมดีกว่าการเลือกแบบสุ่ม
ลองถามตัวเองด้วยคำถามเหล่านี้:
1. ปัญหาของคุณคืออะไร?
การที่คุณระบุประเภทของปัญหาได้ชัดเจน จะช่วยจำกัดวงการค้นหาให้แคบลงอย่างมาก
- คดีแพ่ง (Civil Law): เกี่ยวกับการเรียกร้องค่าเสียหาย, ผิดสัญญา, กู้ยืมเงิน, ที่ดิน, มรดก, ละเมิด
- คดีอาญา (Criminal Law): เกี่ยวกับการถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดทางอาญา เช่น ลักทรัพย์, ทำร้ายร่างกาย, ยาเสพติด, ฉ้อโกง
- คดีครอบครัว (Family Law): เกี่ยวกับการหย่าร้าง, สินสมรส, อำนาจปกครองบุตร, การรับรองบุตร
- คดีแรงงาน (Labor Law): เกี่ยวกับข้อพิพาทระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง, การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
- คดีปกครอง (Administrative Law): เกี่ยวกับข้อพิพาทกับหน่วยงานของรัฐ
- กฎหมายธุรกิจ (Business Law): เกี่ยวกับการจดทะเบียนบริษัท, สัญญาทางธุรกิจ, ภาษี
2. เป้าหมายของคุณคืออะไร?
คุณต้องการให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นอย่างไร?
- คุณต้องการเรียกร้องเงินชดเชย?
- คุณต้องการต่อสู้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์?
- คุณต้องการสิทธิ์ในการเลี้ยงดูบุตร?
- คุณต้องการให้มีการเจรจาไกล่เกลี่ยเพื่อยุติข้อพิพาท?
- คุณต้องการเพียงแค่คำปรึกษาเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง?
การรู้เป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้คุณสื่อสารกับทนายความในอนาคตได้อย่างตรงประเด็น และทนายความก็จะสามารถประเมินแนวทางที่เป็นไปได้ให้คุณได้ดีขึ้น
ขั้นตอนที่ 2: แหล่งข้อมูลในการค้นหาทนายความ (The “Where”)
เมื่อคุณพอจะทราบแล้วว่าต้องการทนายความที่ถนัดในด้านใด ต่อไปคือการค้นหาว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน
1. การบอกต่อ (Referrals)
นี่คือวิธีคลาสสิกและมักจะได้ผลดี
- เพื่อนและครอบครัว: สอบถามคนที่คุณไว้ใจว่าเคยมีประสบการณ์จ้างทนายความในเรื่องที่คล้ายคลึงกันหรือไม่
- เพื่อนร่วมงาน หรือ ผู้ติดต่อทางธุรกิจ: หากเป็นปัญหาเกี่ยวกับธุรกิจ การสอบถามคู่ค้าหรือนักบัญชีที่คุณใช้บริการอยู่ อาจให้คำแนะนำที่ดีได้
- ข้อควรระวัง: แม้ว่าจะเป็นการแนะนำจากคนที่คุณไว้ใจ แต่คดีของพวกเขาอาจไม่เหมือนกับคดีของคุณ ทนายความที่ทำคดีที่ดินได้ดี อาจจะไม่ใช่คนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคดีอาญา
2. สภาทนายความแห่งประเทศไทย (Lawyers Council of Thailand)
สภาทนายความเป็นองค์กรหลักที่กำกับดูแลทนายความในประเทศไทย คุณสามารถตรวจสอบสถานะใบอนุญาตของทนายความได้จากที่นี่ เพื่อให้มั่นใจว่าบุคคลที่คุณกำลังจะจ้างนั้น เป็นทนายความจริงและมีใบอนุญาตถูกต้อง
3. การค้นหาออนไลน์ (Online Search)
นี่คือวิธีที่คนส่วนใหญ่ใช้ในปัจจุบัน แต่ต้องใช้ความระมัดระวังในการคัดกรอง
- Google Search: การพิมพ์ว่า “ทนายความคดีมรดก” หรือ “ทนายความคดีฉ้อโกง” จะให้ผลลัพธ์มากมาย
- เว็บไซต์สำนักงานกฎหมาย: หลายสำนักงานมีเว็บไซต์ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับประเภทคดีที่พวกเขารับทำ และอาจมีบทความกฎหมายที่เป็นประโยชน์
- โซเชียลมีเดีย: ปัจจุบันทนายความหลายท่านใช้ Facebook, TikTok หรือ YouTube ในการให้ความรู้ทางกฎหมาย ซึ่งเป็นช่องทางที่ดีในการประเมิน “สไตล์การสื่อสาร” ของทนายความท่านนั้นๆ ว่าคุณเข้าใจง่ายและถูกจริตกับคุณหรือไม่
4. มูลนิธิหรือองค์กรให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย
สำหรับผู้ที่อาจมีข้อจำกัดด้านงบประมาณ การติดต่อองค์กร เช่น สภาทนายความ (ส่วนงานช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย) หรือมูลนิธิช่วยเหลือต่างๆ อาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง
ขั้นตอนที่ 3: การคัดกรองและประเมิน (The “How”)
ตอนนี้คุณอาจมีรายชื่อทนายความ 3-5 ท่านอยู่ในมือ ขั้นตอนต่อไปคือการ “สัมภาษณ์” พวกเขา นี่คือขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการตัดสินใจ
คนส่วนใหญ่มักไม่กล้า “เลือก” ทนายความ แต่ความเป็นจริงคือ คุณคือ “ผู้ว่าจ้าง” คุณมีสิทธิ์เต็มที่ในการประเมินว่าทนายความท่านนี้เหมาะสมที่จะเป็น “ตัวแทน” ของคุณหรือไม่
1. การติดต่อครั้งแรก (First Contact)
การโทรศัพท์หรือส่งข้อความในครั้งแรก สามารถบอกอะไรคุณได้หลายอย่าง:
- การตอบสนองรวดเร็วเพียงใด? (ไม่ได้หมายความว่าต้องตอบทันที แต่ควรมีการตอบกลับภายในเวลาที่เหมาะสม)
- พนักงานที่รับสายหรือตอบข้อความ สื่อสารได้ชัดเจนและสุภาพหรือไม่?
2. การปรึกษาครั้งแรก (Initial Consultation)
ทนายความส่วนใหญ่จะเสนอการปรึกษาครั้งแรก ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายหรือไม่มีก็ได้ (ควรสอบถามให้ชัดเจนก่อนนัดหมาย) นี่คือโอกาสทองของคุณที่จะประเมินพวกเขา
สิ่งที่คุณควรเตรียมไป:
- สรุปข้อเท็จจริงของเรื่องราว (ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร)
- เรียงลำดับเหตุการณ์ (Timeline)
- เอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมด (สัญญา, หมายศาล, รูปถ่าย, แชทการสนทนา)
- รายการคำถามที่คุณต้องการถาม (ดูในหัวข้อถัดไป)
3. คำถามสำคัญที่ “ต้อง” ถามทนายความ
การไปพบทนายความโดยไม่มีคำถามที่เตรียมไว้ เปรียบเหมือนการไปซื้อรถโดยไม่ทดลองขับ นี่คือชุดคำถามที่จะช่วยคุณประเมินทนายความ (หลีกเลี่ยงการถามว่า “คุณเก่งไหม?” แต่ให้ถามคำถามที่แสดงถึง “การทำงาน” ของพวกเขา):
กลุ่มคำถามเกี่ยวกับประสบการณ์และการทำงาน:
- “คุณเคยทำคดีที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับคดีของผม/ดิฉันมาก่อนหรือไม่?”
- (นี่คือคำถามสำคัญที่สุด) สังเกตวิธีที่เขาตอบ เขาเล่าถึงคดีที่คล้ายกัน (โดยไม่เปิดเผยความลับลูกความเก่า) ได้หรือไม่?
- “คุณมองว่าแนวทางที่เป็นไปได้ในคดีนี้มีอะไรบ้าง?”
- ทนายความที่ดีจะไม่ “รับประกัน” ผลลัพธ์ แต่จะอธิบายถึงจุดแข็ง จุดอ่อน และทางเลือกต่างๆ (เช่น สู้คดี, เจรจา, ไกล่เกลี่ย)
- “ถ้าผม/ดิฉันตกลงจ้างคุณ ใครจะเป็นผู้ดูแลคดีของผม/ดิฉันเป็นหลัก?”
- คุณจะได้คุยกับทนายความท่านนี้โดยตรง หรือจะเป็นทีมงานคนอื่น? นี่เป็นเรื่องสำคัญด้านการสื่อสาร
- “คุณประเมินว่ากระบวนการทั้งหมดจะใช้เวลานานประมาณเท่าใด?”
- แม้จะไม่มีคำตอบที่แม่นยำ 100% แต่คำตอบจะแสดงให้เห็นว่าเขามีความเข้าใจในกระบวนการของศาลหรือไม่
- “ปกติแล้ว คุณจะอัปเดตความคืบหน้าของคดีให้ลูกความทราบอย่างไร? บ่อยแค่ไหน?”
- คุณต้องการคนที่ติดต่อได้ง่าย หรือคนที่นานๆ จะคุยกันที? ต้องมั่นใจว่าสไตล์การสื่อสารตรงกัน
กลุ่มคำถามเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย (สำคัญมาก!): 6. “โครงสร้างค่าบริการของคุณเป็นอย่างไร?” * เราจะอธิบายเรื่องนี้ในหัวข้อถัดไป แต่คุณต้องถามให้ชัดเจน 7. “มีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ นอกเหนือจากค่าทนายความหรือไม่?” * เช่น ค่าธรรมเนียมศาล, ค่าคัดถ่ายเอกสาร, ค่าเดินทาง, ค่าป่วยการพยาน 8. “คุณสามารถประเมินค่าใช้จ่าย “ทั้งหมด” โดยประมาณจนจบคดีได้หรือไม่?” * ขอให้เขาแจกแจงเป็นลายลักษณ์อักษร (ใบเสนอราคา) ถ้าเป็นไปได้
4. การประเมิน “สไตล์” และ “เคมี”
นอกเหนือจากคำถามทางเทคนิคแล้ว ให้ใช้สัญชาตญาณของคุณประเมินสิ่งเหล่านี้:
- เขารับฟังคุณหรือไม่? หรือเขาพูดแทรกและด่วนสรุป? ทนายความที่ดีคือผู้ฟังที่ดี
- เขาอธิบายเรื่องกฎหมายที่ซับซ้อนให้เป็นภาษาที่ “คุณเข้าใจ” ได้หรือไม่? ถ้าคุณงงตั้งแต่ตอนปรึกษา คุณจะยิ่งงงเมื่อคดีดำเนินไป
- คุณรู้สึกไว้วางใจเขาหรือไม่? คุณต้องสามารถเล่าความจริงทุกอย่าง (แม้เป็นเรื่องที่น่าอาย) ให้เขาทราบได้ ความไว้วางใจคือพื้นฐานของความสัมพันธ์ระหว่างลูกความกับทนายความ
ขั้นตอนที่ 4: ทำความเข้าใจเรื่อง “ค่าจ้างทนาย”
เรื่องเงินเป็นเรื่องใหญ่ และความไม่ชัดเจนเรื่องค่าใช้จ่ายคือบ่อเกิดของความขัดแย้งในภายหลัง โดยทั่วไป ค่าบริการทนายความในไทยมีหลายรูปแบบ:
1. ค่าปรึกษา (Consultation Fee)
เป็นการจ่ายเงินเพื่อขอคำแนะนำในครั้งแรกๆ อาจคิดเป็นรายชั่วโมง หรือเหมาจ่ายต่อครั้ง
2. อัตราเหมาจ่าย (Fixed Fee / Flat Fee)
เป็นการตกลงค่าจ้าง “ก้อนเดียว” สำหรับการทำงานชิ้นใดชิ้นหนึ่งจนเสร็จสิ้น เช่น การร่างสัญญา, การยื่นฟ้องคดี, หรือการว่าความจนจบคดีในศาลชั้นต้น วิธีนี้เป็นที่นิยมเพราะลูกความสามารถควบคุมงบประมาณได้ชัดเจน
3. อัตราตามชั่วโมง (Hourly Rate)
ทนายความจะคิดค่าบริการตามเวลาที่ใช้ไปจริงในการทำงานให้คุณ (เช่น การร่างเอกสาร, การติดต่อทางโทรศัพท์, การไปศาล) และจะมีการส่งใบแจ้งหนี้ให้คุณเป็นระยะ วิธีนี้มักใช้ในคดีที่มีความซับซ้อนสูง หรือคดีที่ปรึกษาทางธุรกิจ
4. ค่าตอบแทนเมื่อสำเร็จคดี (Contingency Fee)
วิธีนี้คือการที่ทนายความจะได้รับส่วนแบ่งเป็นเปอร์เซ็นต์จาก “ผลประโยชน์” ที่ลูกความได้รับ (เช่น เงินที่ชนะคดีมาได้) หากแพ้คดี ทนายความก็อาจจะไม่ได้รับค่าจ้าง (แต่ลูกความยังคงต้องจ่าย “ค่าใช้จ่ายจริง” เช่น ค่าธรรมเนียมศาล)
- ข้อสังเกต: ในประเทศไทย วิธีนี้มีข้อจำกัดทางกฎหมายและมรรยาททนายความในบางประเภทคดี โดยเฉพาะคดีอาญา
5. ค่าใช้จ่ายดำเนินการ (Expenses / Disbursements)
นี่ “ไม่ใช่” ค่าจ้างทนายความ แต่เป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงในการดำเนินคดี เช่น
- ค่าธรรมเนียมศาล (ค่าขึ้นศาล, ค่าส่งหมาย)
- ค่าคัดถ่ายเอกสาร, ค่าแปลเอกสาร
- ค่าเดินทางของทนายความ (กรณีต้องไปศาลต่างจังหวัด)
- ค่าป่วยการพยาน
ข้อแนะนำที่ดีที่สุด: ไม่ว่าจะตกลงกันในรูปแบบใด จงขอ “สัญญาว่าจ้าง” หรือ “ข้อตกลง” เป็นลายลักษณ์อักษรเสมอ ซึ่งระบุขอบเขตงานและอัตราค่าบริการที่ชัดเจน ห้ามตกลงด้วยวาจาเด็ดขาด
ขั้นตอนที่ 5: สัญญาณเตือน (Red Flags) ที่ควรหลีกเลี่ยง
บางครั้ง การรู้ว่า “ไม่ควรเลือก” ใคร ก็สำคัญเท่ากับการรู้ว่า “ควรเลือก” ใคร ให้ระวังสัญญาณเหล่านี้:
- การการันตีผลลัพธ์ 100%: “ชนะแน่นอนครับคดีนี้!” ไม่มีทนายความมืออาชีพคนไหนกล้ารับประกันผลคดี 100% เพราะมีปัจจัยมากมายที่ควบคุมไม่ได้ (เช่น พยานหลักฐานของอีกฝ่าย หรือดุลยพินิจของศาล)
- ไม่ชัดเจนเรื่องค่าใช้จ่าย: ถ้าคุณถามเรื่องเงินแล้วเขาตอบอ้อมค้อม หรือไม่ยอมให้รายละเอียดเป็นลายลักษณ์อักษร นี่คือสัญญาณอันตราย
- ติดต่อยากมาก: ถ้าแม้แต่ตอนก่อนจ้างยังติดต่อยาก หลังจ้างไปแล้วคุณอาจจะเครียดยิ่งกว่าเดิม
- ขาดความเป็นมืออาชีพ: มาสายโดยไม่แจ้งล่วงหน้า, เอกสารไม่เป็นระเบียบ, พูดจาไม่ให้เกียรติลูกความหรือคู่กรณีฝ่ายตรงข้าม
- แนะนำให้ทำสิ่งที่ผิดกฎหมายหรือผิดจรรยาบรรณ: เช่น แนะนำให้คุณโกหก หรือสร้างพยานหลักฐานเท็จ นี่คือสิ่งที่ต้อง “ปฏิเสธ” ทันที
บทสรุป: การเลือกทนายคือการเลือก “หุ้นส่วน” ในการแก้ปัญหา
การค้นหาว่า “จ้างทนายที่ไหนดี” ไม่ใช่การค้นหาทนายความที่ “เก่งที่สุด” ในโลก แต่คือการค้นหาทนายความที่ “เหมาะสมที่สุด” สำหรับคุณและคดีของคุณ
ทนายความคนนั้นคือคนที่มีประสบการณ์ในการทำคดีลักษณะเดียวกับคุณ, เป็นคนที่คุณสามารถสื่อสารด้วยแล้วเข้าใจ, เป็นคนที่คุณไว้วางใจที่จะเล่าความจริงให้ฟัง และเป็นคนที่มีโครงสร้างค่าบริการที่โปร่งใสและคุณยอมรับได้
ใช้เวลาในการค้นหาและคัดกรอง อย่ารีบร้อนตัดสินใจเพียงเพราะความกลัวหรือความกังวล การลงทุนเวลาในตอนนี้ จะช่วยให้คุณประหยัดทั้งเงิน เวลา และความเครียดได้มหาศาลในอนาคต
กำลังมองหาคำปรึกษาเพื่อเริ่มต้นใช่หรือไม่?
หากคุณได้อ่านบทความนี้และกำลังประเมินสถานการณ์ของตนเอง และต้องการคำปรึกษาเบื้องต้นเพื่อทำความเข้าใจแนวทางทางกฎหมายสำหรับปัญหาของคุณ
สามารถติดต่อทนายวิรัชได้ที่ สายด่วน โทร 081-258-5681 หรือ Add Line: @732hjgrx
เราพร้อมที่จะรับฟังปัญหาของคุณ และให้คำแนะนำที่ตรงไปตรงมาเกี่ยวกับทางเลือกที่เป็นไปได้ เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจในก้าวต่อไปได้อย่างมั่นใจ