เมื่อบุคคลหนึ่งได้รับความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สิน หรือสิทธิต่างๆ อันเนื่องมาจากการกระทำของบุคคลอื่น ไม่ว่าจะเป็นการกระทำโดยจงใจ ประมาทเลินเล่อ (การละเมิด) หรือการไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง (การผิดสัญญา) กฎหมายได้ให้สิทธิ์แก่ผู้เสียหายในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน หรือที่เราเรียกกันโดยทั่วไปว่า “การฟ้องค่าเสียหาย”
อย่างไรก็ตาม กระบวนการในการฟ้องร้องคดีแพ่งเพื่อเรียกค่าเสียหายนั้น มีรายละเอียด ขั้นตอน และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องมากมาย การเตรียมตัวที่ไม่พร้อมอาจทำให้คุณเสียเปรียบในคดี หรือร้ายแรงที่สุดคือการสูญเสียสิทธิ์ในการเรียกร้องนั้นไป
บทความนี้จะอธิบายกระบวนการทั้งหมดอย่างละเอียด ตั้งแต่แนวคิดพื้นฐานทางกฎหมาย ประเภทของค่าเสียหายที่เรียกร้องได้ ขั้นตอนการดำเนินคดีในศาล ไปจนถึงข้อควรระวังสำคัญอย่าง “อายุความ” เพื่อให้คุณมีความเข้าใจที่ชัดเจนและสามารถประเมินสถานการณ์ของตนเองได้อย่างถูกต้อง
(H2) “การฟ้องค่าเสียหาย” คืออะไร และอยู่บนพื้นฐานกฎหมายใด?
การฟ้องค่าเสียหาย คือ การใช้สิทธิ์ทางศาลในคดีแพ่ง เพื่อเรียกร้องให้ผู้ที่กระทำความเสียหายแก่เรา ชดใช้เงินหรือทรัพย์สินสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อ “เยียวยา” ผู้เสียหายให้กลับไปสู่สถานะเดิมให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
รากฐานทางกฎหมายที่สำคัญสำหรับการฟ้องค่าเสียหายในประเทศไทย แบ่งออกเป็น 2 กรณีหลัก:
(H3) 1. การฟ้องค่าเสียหายบนพื้นฐาน “ละเมิด” (Tort)
นี่คือกรณีที่พบบ่อยที่สุด โดยอ้างอิงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ที่บัญญัติว่า “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”
องค์ประกอบสำคัญที่คุณต้องพิสูจน์ในคดีละเมิด ได้แก่:
- มีการกระทำ: ผู้กระทำได้ลงมือทำ (หรืองดเว้นการกระทำในหน้าที่ที่ต้องทำ)
- จงใจ หรือ ประมาทเลินเล่อ:
- จงใจ: ตั้งใจให้เกิดความเสียหาย
- ประมาทเลินเล่อ: ไม่ได้ตั้งใจ แต่ขาดความระมัดระวังตามสมควรที่บุคคลในภาวะเช่นนั้นควรจะต้องมี
- กระทำต่อผู้อื่นโดยผิดกฎหมาย: การกระทำนั้นเป็นการล่วงละเมิดสิทธิ์ของผู้อื่น
- เกิดความเสียหาย: มีความเสียหายเกิดขึ้นจริง ไม่ว่าจะเป็นต่อชีวิต, ร่างกาย, อนามัย, เสรีภาพ, ทรัพย์สิน หรือสิทธิ์
- ความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำกับความเสียหาย: ความเสียหายนั้นเป็นผลโดยตรงมาจากการกระทำดังกล่าว
ตัวอย่างคดีละเมิด: การขับรถชน, การทำร้ายร่างกาย, การกล่าวหมิ่นประมาททำให้เสียชื่อเสียง, การที่สุนัขของเพื่อนบ้านมากัด, การที่โรงงานปล่อยน้ำเสียลงในที่ดินของเรา
(H3) 2. การฟ้องค่าเสียหายบนพื้นฐาน “การผิดสัญญา” (Breach of Contract)
กรณีนี้เกิดขึ้นเมื่อมี “สัญญา” ที่ถูกต้องตามกฎหมายระหว่างสองฝ่าย (ไม่ว่าจะเป็นลายลักษณ์อักษรหรือวาจาก็ตาม) และฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงในสัญญานั้น (การไม่ชำระหนี้) ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งได้รับความเสียหาย
มาตรา 215 ระบุว่า “เมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้ไซร้ เจ้าหนี้ย่อมจะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่การนั้นก็ได้”
ตัวอย่างคดีผิดสัญญา:
- ผู้รับเหมาก่อสร้างบ้านไม่เสร็จตามกำหนดเวลา
- ผู้ขายส่งมอบสินค้าที่ชำรุดบกพร่อง ไม่ตรงตามสเปค
- ผู้เช่าไม่ชำระค่าเช่า หรือทำทรัพย์สินที่เช่าเสียหาย
- ผู้กู้ยืมเงินไม่ชำระคืนตามกำหนด
การฟ้องค่าเสียหายจากการผิดสัญญานั้น เน้นไปที่การชดเชยเพื่อให้คู่สัญญาที่เสียหาย ได้รับประโยชน์เสมือนว่าสัญญานั้นได้ถูกปฏิบัติตาม
(H2) วิเคราะห์ความเสียหาย: คุณสามารถเรียกร้อง “ค่าอะไร” ได้บ้าง?
เมื่อตัดสินใจจะฟ้องค่าเสียหาย สิ่งสำคัญคือต้องรู้ว่าเราสามารถเรียกร้องอะไรได้บ้าง กฎหมายได้แบ่งประเภทของค่าสินไหมทดแทนไว้ ดังนี้:
(H3) 1. ค่าเสียหายที่เป็นตัวเงิน (Pecuniary Damages)
นี่คือค่าเสียหายที่สามารถคำนวณออกมาเป็นจำนวนเงินได้ชัดเจนที่สุด ประกอบด้วย:
- ค่ารักษาพยาบาล: ค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นจริงจากการรักษาพยาบาล เช่น ค่ายา ค่าผ่าตัด ค่าห้องพักในโรงพยาบาล ค่ากายภาพบำบัด (ต้องมีใบเสร็จรับเงินเป็นหลักฐาน)
- ค่าใช้จ่ายในอนาคต: หากการบาดเจ็บนั้นต้องมีการรักษาต่อเนื่อง เช่น ค่าล้างไต, ค่ากายภาพบำบัดในอนาคต หรือค่าอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ต้องใช้
- ค่าขาดประโยชน์ทำมาหาได้ (Lost Wages):
- ในปัจจุบัน: รายได้ที่คุณสูญเสียไปในช่วงที่ต้องหยุดงานเพื่อรักษาตัว
- ในอนาคต: หากการบาดเจ็บนั้นส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำงาน ทำให้รายได้ในอนาคตลดลง (เช่น กรณีพิการหรือทุพพลภาพ)
- ค่าปลงศพ: ในกรณีที่ความเสียหายถึงแก่ชีวิต (ตามมาตรา 443) ทายาทสามารถเรียกร้องค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการจัดการงานศพได้
- ค่าขาดไร้อุปการะ: หากผู้ตายเป็นผู้ที่มีหน้าที่ตามกฎหมายต้องอุปการะเลี้ยงดูผู้อื่น (เช่น พ่อแม่เลี้ยงดูบุตร, สามีเลี้ยงดูภรรยา) ทายาทเหล่านั้นสามารถเรียกร้องค่าเสียหายจากการที่ต้องขาดคนอุปการะได้
- ค่าเสียหายต่อทรัพย์สิน: มูลค่าของทรัพย์สินที่ถูกทำลาย หรือค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมให้กลับสู่สภาพเดิม รวมถึงค่าเสื่อมราคาทรัพย์สินนั้นด้วย
(H3) 2. ค่าเสียหายที่ไม่ใช่ตัวเงิน (Non-Pecuniary Damages)
นี่คือค่าเสียหายที่ไม่สามารถคำนวณเป็นตัวเลขได้โดยตรง ศาลจะเป็นผู้กำหนดจำนวนเงินที่เหมาะสมให้ “ตามพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด” (ตามมาตรา 446) หรือที่มักเรียกกันว่า “ค่าทำขวัญ”
- ค่าความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน (Pain and Suffering): ความเจ็บปวดทางร่างกายและจิตใจที่ผู้เสียหายได้รับ
- ค่าเสื่อมเสียชื่อเสียง (Defamation): ในคดีหมิ่นประมาท
- ค่าเสื่อมเสียเสรีภาพ: ในกรณีถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวโดยมิชอบ
- ค่าความอับอาย: เช่น กรณีการผิดสัญญาหมั้น
การกำหนดค่าเสียหายส่วนนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล โดยจะพิจารณาจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น สถานะทางสังคม อาชีพ ระดับความรุนแรงของผลกระทบทางจิตใจ
(H2) เส้นทางสู่การฟ้องคดี: สรุป 6 ขั้นตอนหลักในการดำเนินการ
กระบวนการฟ้องร้องคดีแพ่งมีความซับซ้อน การทำความเข้าใจภาพรวมของขั้นตอนต่างๆ จะช่วยให้คุณเตรียมตัวได้ดียิ่งขึ้น
(H3) ขั้นตอนที่ 1: การรวบรวมพยานหลักฐาน (The Evidence is King)
นี่คือขั้นตอนที่สำคัญที่สุดและควรทำทันทีที่เกิดเหตุ พยานหลักฐานคือหัวใจของการฟ้องคดีแพ่ง ระบบศาลไทยใช้ “ระบบกล่าวหา” หมายความว่า ผู้ใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงใด ผู้นั้นมีภาระในการพิสูจน์ (Burden of Proof)
หลักฐานที่จำเป็นในการฟ้องค่าเสียหาย ได้แก่:
- หลักฐานเกี่ยวกับเหตุการณ์:
- ภาพถ่าย/วิดีโอของที่เกิดเหตุ, ความเสียหาย, การบาดเจ็บ
- บันทึกประจำวันจากสถานีตำรวจ (ในคดีอุบัติเหตุหรือคดีที่มีความเกี่ยวข้องทางอาญา)
- ข้อมูลพยานบุคคล: ชื่อ ที่อยู่ เบอร์ติดต่อ ของผู้เห็นเหตุการณ์
- หลักฐานเกี่ยวกับสัญญา (กรณีผิดสัญญา):
- ตัวสัญญา, ใบสั่งซื้อ, ใบเสนอราคา
- หลักฐานการติดต่อสื่อสาร เช่น อีเมล, ข้อความแชท (Line, Messenger) ที่แสดงถึงการตกลงและการผิดนัด
- หลักฐานการชำระเงิน
- หลักฐานเกี่ยวกับความเสียหาย:
- ใบรับรองแพทย์, ประวัติการรักษา
- ใบเสร็จรับเงินค่ารักษาพยาบาล, ค่าซ่อมแซมทรัพย์สิน
- สลิปเงินเดือน หรือหลักฐานรายได้ (เพื่อคำนวณค่าขาดประโยชน์)
(H3) ขั้นตอนที่ 2: การส่งหนังสือบอกกล่าว (Demand Letter / Notice)
ก่อนที่จะยื่นฟ้องต่อศาล ในหลายกรณี (โดยเฉพาะคดีผิดสัญญา) ควมีการส่งหนังสือบอกกล่าวทวงถาม หรือ “โนติส” ไปยังฝ่ายที่ต้องรับผิดก่อน หนังสือนี้ควรจัดทำโดยทนายความ เพื่อให้มีเนื้อหาที่รัดกุมและถูกต้องตามกฎหมาย โดยระบุถึง:
- ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น (การละเมิด หรือ การผิดสัญญา)
- ความเสียหายที่เกิดขึ้น
- ข้อเรียกร้อง (ต้องการให้ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินเท่าใด)
- กำหนดเวลาที่เหมาะสม (เช่น 7 วัน, 15 วัน หรือ 30 วัน)
- ระบุว่าหากพ้นกำหนดเวลาดังกล่าว จะดำเนินการทางกฎหมายต่อไป
การส่งโนติสมีประโยชน์คือ:
- เปิดโอกาสในการเจรจาไกล่เกลี่ย อาจจบเรื่องได้โดยไม่ต้องขึ้นศาล
- เป็นหลักฐานแสดงต่อศาลว่าเราได้พยายามแจ้งให้ชำระหนี้หรือชดใช้ค่าเสียหายแล้ว
- ในคดีบางประเภท ถือเป็นการ “บอกกล่าว” ตามที่กฎหมายกำหนด
(H3) ขั้นตอนที่ 3: การยื่นฟ้องต่อศาล (Filing a Lawsuit)
หากการเจรจาไม่เป็นผล หรือในคดีละเมิดที่ชัดเจน สามารถข้ามไปสู่การยื่นฟ้องได้เลย
- การเตรียม “คำฟ้อง”: นี่คือเอกสารทางการที่ยื่นต่อศาล อธิบายว่าใครทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ เกิดความเสียหายอย่างไร และต้องการให้ศาลบังคับให้จำเลยชดใช้อะไรบ้าง “คำฟ้อง” ต้องชัดเจน ไม่คลุมเครือ และต้องอ้างอิงข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
- การยื่นฟ้อง: ต้องยื่นต่อศาลที่มีเขตอำนาจ เช่น ศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ หรือศาลที่มูลคดีเกิด (สถานที่เกิดเหตุละเมิด หรือสถานที่ที่สัญญาถูกทำขึ้น)
- ค่าธรรมเนียมศาล: การฟ้องคดีแพ่งมีค่าใช้จ่ายที่เรียกว่า “ค่าขึ้นศาล” ซึ่งโดยทั่วไปจะคิดในอัตราร้อยละ 2 ของจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้อง (แต่อาจมีข้อยกเว้นหรือเพดานสูงสุดตามที่กฎหมายกำหนด) หากผู้ฟ้องคดี (โจทก์) ไม่มีกำลังทรัพย์เพียงพอ สามารถยื่นคำร้อง “ขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา” เพื่อขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลได้ แต่ต้องผ่านการไต่สวนจากศาลก่อน
(H3) ขั้นตอนที่ 4: กระบวนพิจารณาในชั้นศาล (Court Proceedings)
เมื่อศาลรับฟ้องแล้ว จะมีขั้นตอนดังนี้:
- การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง: ศาลจะส่งเอกสารเหล่านี้ไปยังจำเลย (ฝ่ายที่ถูกฟ้อง)
- การยื่นคำให้การ: จำเลยมีเวลาตามกฎหมาย (ปกติคือ 15 วัน) ในการยื่น “คำให้การ” เพื่อต่อสู้คดี
- การไกล่เกลี่ย (Mediation): ศาลในปัจจุบันให้ความสำคัญกับการไกล่เกลี่ยมาก ศาลจะนัดทั้งสองฝ่ายมาพูดคุยกัน โดยมีผู้ประนีประนอมของศาลเป็นคนกลาง หากตกลงกันได้ คดีจะจบลงด้วย “สัญญาประนีประนอมยอมความ” ซึ่งมีผลผูกพันเช่นเดียวกับคำพิพากษา
- การชี้สองสถาน (หากไกล่เกลี่ยไม่สำเร็จ): ศาลจะกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่ามีเรื่องใดบ้างที่ต้องนำพยานมาสืบ และกำหนดว่าฝ่ายใดมีภาระการพิสูจน์ในประเด็นใด
- การสืบพยาน (Trial): ทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลยจะนำพยานหลักฐานที่ตนมี (พยานบุคคล, พยานเอกสาร, พยานวัตถุ) เข้าสืบต่อหน้าศาล
(H3) ขั้นตอนที่ 5: คำพิพากษา (Judgment)
หลังจากสืบพยานเสร็จสิ้น ศาลจะใช้เวลาพิจารณาพยานหลักฐานทั้งหมด และนัดฟัง “คำพิพากษา” เพื่อตัดสินว่าจำเลยต้องรับผิดและชดใช้ค่าเสียหายหรือไม่ เป็นจำนวนเท่าใด หากฝ่ายใดไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ยังมีสิทธิ์ในการอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์ และฎีกาไปยังศาลฎีกาตามลำดับ (ภายใต้เงื่อนไขของกฎหมาย)
(H3) ขั้นตอนที่ 6: การบังคับคดี (Enforcement)
หากศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้คุณชนะคดี แต่จำเลยไม่ยอมชำระค่าเสียหายตามคำพิพากษาโดยดี คดีไม่ได้จบเพียงเท่านั้น คุณต้องเข้าสู่กระบวนการ “บังคับคดี” คุณต้องยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอ “หมายบังคับคดี” และนำไปติดต่อกรมบังคับคดี เพื่อให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการสืบทรัพย์สินของจำเลย และทำการ “ยึด” หรือ “อายัด” ทรัพย์สินเหล่านั้น (เช่น ที่ดิน, บ้าน, รถยนต์, บัญชีเงินฝาก, เงินเดือน) เพื่อนำออกขายทอดตลาด และนำเงินมาชำระหนี้ค่าเสียหายให้แก่คุณ
กระบวนการบังคับคดีมีระยะเวลาจำกัด (ปกติคือ 10 ปีนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด) จึงต้องรีบดำเนินการ
(H2) ข้อควรระวังสูงสุด: “อายุความ” (Statute of Limitations)
นี่คือ “กับดัก” ที่สำคัญที่สุดในการฟ้องค่าเสียหาย “อายุความ” คือ ระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดให้คุณต้องใช้สิทธิ์ฟ้องร้อง หากปล่อยเวลาล่วงเลยจน “ขาดอายุความ” แม้ว่าคุณจะถูกกระทำและเสียหายจริง ศาลก็จะต้องยกฟ้อง
อายุความสำหรับการฟ้องค่าเสียหายที่พบบ่อย:
- คดีละเมิด (มาตรา 448): ต้องฟ้องภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ผู้เสียหาย “รู้ถึงการละเมิด และรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน” (รู้เหตุและรู้ตัวคนทำ)
- แต่ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ห้ามฟ้องเมื่อพ้น 10 ปี นับแต่วันที่ทำละเมิด
- คดีผิดสัญญา (ทั่วไป): โดยทั่วไปมีอายุความ 10 ปี
- คดีผิดสัญญา (พิเศษ): มีสัญญาหลายประเภทที่มีอายุความสั้นกว่านั้น เช่น
- การเรียกร้องค่าสินค้า (ผู้ประกอบการ) หรือค่าจ้างทำของ: 2 ปี
- การเรียกร้องค่าจ้าง (ลูกจ้าง): 2 ปี
- การเรียกร้องเกี่ยวกับค่าขนส่ง: 1 ปี
ความซับซ้อนของอายุความคือ “จุดเริ่มต้นนับ” การปรึกษาผู้มีความรู้ทางกฎหมายเพื่อตรวจสอบว่าคดีของคุณยังไม่ขาดอายุความเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
(H2) สรุปแนวทาง: เมื่อถูกละเมิดสิทธิ์ ควรทำอย่างไร?
การถูกกระทำให้เสียหายเป็นเรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจและอาจส่งผลกระทบต่อการเงินอย่างรุนแรง การ “ฟ้องค่าเสียหาย” เป็นสิทธิ์ตามกฎหมายของคุณ แต่ก็เป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลา ความอดทน และความเข้าใจ
- ตั้งสติและเก็บหลักฐาน: ทันทีที่เกิดเหตุ ให้รวบรวมพยานหลักฐานให้ได้มากที่สุด
- ประเมินความเสียหาย: คำนวณค่าเสียหายที่เป็นตัวเงิน (ใบเสร็จ, ค่าขาดรายได้) และประเมินความเสียหายทางจิตใจ
- ตรวจสอบอายุความ: นี่คือเรื่องเร่งด่วนที่สุด
- พิจารณาการเจรจา: การส่งหนังสือบอกกล่าวอาจเป็นทางออกที่รวดเร็วกว่า
- เตรียมพร้อมสำหรับกระบวนการ: หากต้องฟ้องศาล ต้องเข้าใจว่านี่คือการเดินทางที่อาจใช้เวลาหลายเดือนหรือหลายปี
การดำเนินการทางกฎหมายมีรายละเอียดและขั้นตอนที่ซับซ้อน การมีที่ปรึกษาคอยให้คำแนะนำและวางแผนการดำเนินคดีอย่างถูกต้องตั้งแต่ต้น จะช่วยให้คุณสามารถรักษาสิทธิ์ของตนเองได้อย่างเต็มที่
หากคุณกำลังพิจารณาการฟ้องค่าเสียหาย หรือต้องการประเมินแนวทางคดีของคุณ สามารถติดต่อทนายวิรัชได้ที่ สายด่วน โทร 0812585681 หรือ add line @732hjgrx